Interest Groups
ตอนนี้ในวุฒิสภา มีวิวาทะเรื่องที่หอการค้า/สภาอุตฯ ภาคเอกชนใหญ่ต้องการมีที่นั่งในกรรมการอากาศสะอาดทุกคณะ ฝ่ายประชาชนกลุ่ม CAN ไม่เห็นด้วย แต่แนวโน้ม ส.ว.คงจะให้แก้มาตราที่ว่า
สำหรับผม กลับมองว่า ยังไงก็ต้องเปิดที่นั่งให้กับกลุ่มผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับมลพิษต่างๆ เข้ามาในกลไกอากาศสะอาด เพราะแนวคิดของกฎหมายนี้ ไม่ใช่ regulator ควบคุมแบบ กสทช. หากเป็นกลไกยกระดับการผลิตและวิถีสังคมทั้งสังคม พร้อมๆ กับการออกข้อตกลงที่เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อคุ้มครองคนจากอากาศพิษ
Intertest gruop มีหลากหลายมากตั้งแต่เจ้าสัวโรงงานรถยนต์โรงงานน้ำตาล ยักษ์ก่อสร้าง ลงมาถึง ชาวนา ชาวไร่อ้อย ชาวบ้านในป่าที่ทำไร่หมุนเวียน คนปลูกข้าวโพด และผู้รับเหมาก่อสร้างมีคนงานบรรทุกไปแค่กระบะเดียว
Positioning หลักของผู้เกี่ยวข้องเหล่านี้ คือกลุ่มผู้ปล่อยมลพิษ ที่ต้องย้ำเสมอว่าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย หากแต่ต้องมาร่วมกันกับฝ่ายต่างๆ หารือเพื่อปรับเปลี่ยน ลดลง และอยู่ในกรอบกติกาสักอย่าง ในอีกฐานะหนึ่งพวกเขาก็เป็นกลุ่มผู้รับผลกระทบจากแหล่งผลิตอื่นเช่นกัน มันยุ่งยากที่จะนิยามสถานะพอสมควร
ที่จริงตอนที่ร่างกฎหมายฉบับรัฐบาล ปยป. ผมยังแอบคิดว่า คณะกรรมการระดับชาติ จะตั้งอนุของแต่ละกลุ่มปัญหา เพื่อเอา Interest groups เหล่านี้มานั่งให้ตรงกลุ่มปัญหา ทำไงให้ปรับปรุง ยกระดับ สู่การผลิตใหม่ มีที่นั่งประจำให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย
และที่จริง ในระดับจังหวัดปัจจุบันมันก็มี กลุ่มผู้ปล่อยมลพิษฝุ่นมาเกี่ยวข้องกับกลไกแก้ปัญหาอยู่แล้ว อย่างเชียงใหม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่ ฟากเอ็นจีโอและชาวบ้านในป่า ก็แสดงสถานะตัวแทนของผู้ใช้ไฟในป่าไปต่อรองในกลไกจังหวัดมานานแล้ว มันก็มั่วๆ พอสมควรกับ Positioning ของสภาลมหายใจด้วยเพราะมันเป็นแพลตฟอร์มกลางแต่ละจังหวัดใครสนใจปัญหานี้ก็มาร่วมกัน บางแห่งสถานะของผู้รับผลกระทบเด่นชัด บางจังหวัดสถานะของผู้ใช้ไฟไปต่อรองกับจังหวัดเด่นชัดกว่า
ผมที่ใช้ชื่อสภาลมหายใจด้วยอีกคนหนึ่งก็ยังงงๆ เอาไงกับสภาลมหายใจดีวะ แต่ก็นั่นแหละ เมื่อถึงเวลาต่อรองในแต่ละประเด็นปัญหา สถานะของผู้ปล่อยมลพิษ กับ สถานะของผู้รับผลกระทบ จะเด่นชัดขึ้นมาเอง หรือจะวงเล็บต่อท้าย ว่าสภาลมหายใจ(กลุ่มผู้ใช่้ไฟ) กับ (กลุ่มผู้รับผลกระทบ) ก็เป็นไปได้ ทุกอย่างเป็นไปได้ในอนาคตทั้งสิ้น
แบบเดียวกับฟากองค์กรท่องเที่ยว องค์กรด้านการค้า การบริการ ภายใต้หอการค้าไทย ก็เป็นกลุ่มผู้รับผลกระทบจากฝุ่น ขณะที่ฟากโรงงานการผลิตมีสถานะเป็นผู้ปล่อยมลพิษ ที่อยากมีเวทีต่อรอง หอการค้าที่ไปนั่งเป็นกรรมการก็วงเล็บไปด้วยสิ หอการค้าไทย(ฝ่ายต่อรองให้ปล่อยมลพิษ) กับ หอการค้าไทย (ฝ่ายอยากให้ลดมลพิษ)
จากนี้ปัญหาเรื่องฝุ่นควันมันจะยาวไปต่อ สู่สเตจใหม่ คือ สเตจของการต่อรองทางสังคมขนาดใหญ่ ระหว่างกลุ่มต่างๆ
มีนะครับ ผู้ปล่อยมลพิษในป่า ชี้ไปที่ผู้ปล่อยมลพิษในเมือง...เอ็งนั่นแหละ ตัวการใหญ่ ขณะที่ผู้ปล่อยมลพิษเล็กๆ แค่ปิ้งย่างในเมือง ก็ชี้ไปที่ผู้เผาใหญ่ๆ ในป่าว่า เอ็งนั่นแหละ แล้วก็ถูกสวนกลับ ว่าเอ็งก็ด้วย
การนิยามสถานะของผู้เกี่ยวข้องในประเด็นปัญหามลพิษฝุ่นจึงสำคัญ
เวทีออกแบบการแก้ปัญหา จะคณะกรรมการระดับไหนก็แล้วแต่ มีความจำเป็นต้องมีตัวแทนผู้รับผลกระทบจาก point source นั้นๆ ไว้ด้วยเสมอ
เช่น คณะกรรมการระดับจังหวัดในภาคเหนือ ต้องมีตัวแทนผู้รับผลกระทบจากมลพิษฝุ่นที่มาจากการเผาที่โล่งด้วยเสมอ อย่าให้มีแค่ตัวแทนผู้ใช้ไฟไปออกแบบมาตรการ มิฉะนั้น จะเพี้ยนและไม่ได้รับการยอมรับ
ประเด็นเรื่องหอการค้า สภาอุตฯ อยากมีที่นั่งในคณะกรรมการอากาศสะอาดผมว่า ก็สามารถนะ แต่ต้องมีสัดส่วนของผู้รับผลกระทบ และกลไกกติกากลาง ที่มีเหตุผลทางวิชาการรองรับ ไว้คานอำนาจเสมอ
ต้องจัดให้มีที่ทางของ Interest group กลุ่มผู้รับผลกระทบจากฝุ่นควัน อยู่ในทุกกลไกเสมอ ตั้งแต่ระดับชาติลงมา
ที่มา facebook @bunnaroth
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น