วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

จอมพล ป.เช็คเทียน





จอมพล ป.เช็คเทียน ผู้หาญเปลี่ยนวัฒนธรรม!



ความเหมือนของ ‪บูเช็คเทียน‬ กับ ‪จอมพลป‬.พิบูลสงคราม  ทั้งคู่น่ะเป็นผู้นำประเภทรวบอำนาจและใช้กำปั้นเหล็กเหมือนกัน เก่งในการบริหารเหมือนกัน มีผลงานที่คิดค้นมามากมายเหมือนกัน

และที่สำคัญก็คือ เล่นกับธรรมเนียม ‪วัฒนธรรมเพื่อ‬ (คิดจะ) ค้ำอำนาจเหมือนกัน!!!

ถูกแล้วครับความเหมือนของผู้นำกำปั้นเหล็กทั้งคู่ก็คือ ความพยายามปฏิรูปใหญ่เชิงวิถีวัฒนธรรม เปลี่ยนรายละเอียดเชิงระบบของระบอบที่ตนก้าวขึ้นมานำ ! ...... แต่ที่สุดก็ไม่สำเร็จ

เป็นผู้ ล้มเหลวในการ‬ ‪ปฏิรูปอำนาจเชิงวัฒนธรรมเหมือนกัน‬

จักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน ที่คนไทยเรียกตามลิ้นกวางตุ้งว่าบูเช็คเทียน มีสีสันความเป็นมาอย่างกะดราม่า สรุปว่าไต่เต้าจากสนมลำดับรองขึ้นมาเป็นฮองเฮา - ไทเฮา ผัวฮ่องเต้สิ้นไปลูกชายก็ได้ขึ้นแทน แล้วพระองค์ก็ว่าการอยู่หลังม่านสะสมอำนาจเป็นลำดับ จนที่สุดก็ออกมาหน้าม่านเสียเลย จากนั้นก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่เรียกว่า ราชวงศ์โจว มาแทนราชวงศ์ ถัง ของคนแซ่หลี่ซึ่งเป็นสายสามี

วิธีการของบูเช็คเทียนนี่ แหกกรอบ-ข้ามขนบ-ฉีกวิถีธรรมเนียม ของวงราชสำนักศูนย์กลางอำนาจจีนยุคนั้นในแทบทุกเรื่องทีเดียว

พระนางนี่ถือเป็นสุดยอดของผู้นำประเภทจิ้งจอกแบบที่มาคิอาเวลลีว่าไว้ เก่งเฉยๆไม่พอ ต้องบอกว่า...เก่งมาก!

ธรรมเนียมเดิมของถัง เขาจะเลือกขุนนางอำมาตย์จากตระกูลใหญ่ซึ่งก็สืบเนื่องแบบแผนนี้มาตั้งแต่ยุคสุยโน่น บูเช็คเทียนมาถึงฉีกกฏเลย เฮ้่ยๆๆ ไม่เอาแล้ว นายทหารจากจปร. โรงเรียนมหาดเล็ก อะไรเลิกๆๆๆ แล้วพระนางก็จัดสอบจอหงวนเข้ารับราชการ ระดมเอาคนมีความรู้จากชนชั้นต่างๆ จากทั่วแผ่นดิน ไม่พึ่งพาตระกูลดีเส้นใหญ่

จากนั้นก็ย้ายเมืองหลวงจากฉางอานไปที่ลั่วหยาง ที่ขนานนามว่า เสินตู เมืองเทพนคร หุหุ...ฉางอานเป็นเมืองต้นวงศ์ถัง บูเช็คเทียนไม่เอาบรรยากาศเก่าๆ ความรู้สึกเดิมๆ ไหนเปลี่ยนวงศ์แล้วก็ใช้ฉากใหม่เสียเลย แหมๆๆ

การสถาปนาธรรมเนียมใหม่ ที่แท้คือการล้างวัฒน/ธรรมเนียมเดิมนั่นเอง

จอมพล ป. เราก็จะย้ายเมืองหลวงนะ ไปอยู่เพชรบูรณ์ ตอนที่ย้ายไปน่ะอำนาจบารมีถึงขีดสุดแล้ว แต่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะสังคมธรรมเนียมไทยยังยึดเหนี่ยวกับกรุงเทพฯ อมรรัตนโกสินทร์เหนียวแน่นกว่า จอมพล ป.พ่ายแพ้ถูกโค่นครั้งแรกจริงๆ ก็ครั้งนั้นคือ พ.ศ.2487

การปฏิรูปวัฒนธรรมของบูเช็คเทียน ก็คือ การฉีกธรรมเนียมๆ เดิมๆ สร้างขนบใหม่ เขาไม่ให้ผู้หญิงมีอำนาจ พระนางก็ตั้งขุนนางหญิงเป็นมหาเสนาบดี บรรพกษัตริย์หลี่เอียน หลี่ซื่อหมิน ยุคโน้นนับถือเต๋า เคารพนักพรต พระนางก็หันไปสนับสนุนพุทธ แถมตอนที่ขึ้นครองราชย์ยังแอบเตี๊ยมกับสังฆราชาสงฆ์ทำนายทายทักปรากฏการณ์หนุนอำนาจวาสนาขึ้นไปอีก หลังๆ นี่ยกกันให้เป็นกึ่งๆ เทพคือเป็นพระโพธิสัตว์ไปเลย

คือธรรมเนียมอะไรที่หนุนเสริมอำนาจการเมืองแบบเดิม พระนางก็คอนเวิร์สสร้างใหม่ เพื่อจะสนับสนุน "ระบอบ" ใหม่ที่สถาปนาขึ้นมานั้่นเอง

แต่ที่สุดบูเช็คเทียนก็สู้ไม่ได้ ยังพ่ายแพ้กับความเหนียวแน่นของขนบธรรมเนียมเดิมๆ ตระกูลอู่ ที่ตั้งขึ้นมากะให้เป็นอ๋อง เป็นไทจือ ให้ขึ้นครองราชย์ต่อ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะการเมืองถังยุคนั้นยังแน่นเหนียวกับขนบเดิม ที่สุด ราชวงศ์ถังก็กลับคืนมา ตระกูลหลี่ขึ้นครองราชย์ตามเดิม ยังใช้งานขุนนางอำมาตย์จากตระกูลใหญ่ตามเดิม

ราชวงศ์โจวจบที่พระนางแค่นั้น!

จอมพล ป.ของเรานี่ก็ชัดเจนครับ เดินตามแนวทางปฏิรูปวัฒนธรรมค้ำอำนาจแบบบูเช็คเทียนชัดๆ

จอมพลป. นี่เป็นสมาชิกคณะราษฎรที่ไปไกลที่สุดนะผมว่า ไกลกว่าปรีดี พนมยงค์ ไกลกว่าพระยาพหลฯ เพราะขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจนานกว่าใคร เบ็ดเสร็จแทบเด็ดขาด แถมยังถอดรื้อขนบธรรมเนียมแบบเจ้าๆ ไปเยอะ

สมัยจอมพล ป. เป็นยุคที่อำนาจใหม่ 2475 เข้มแข็งมาก แต่จอมพล ป.ก็มีแบบแผนแนวทางแบบของตัว ไม่เหมือนกับสมาชิกคณะราษฎรคนอื่นๆ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ในบรรดาคณะราษฏรทั้งหมดต่างก็คนละทิศละทางมาแต่แรกแล้วล่ะ แรกๆ ทหารก็แบ่งเป็นสอง หลังๆ พลเรือนเองอย่าง นายควง อภัยวงศ์ กับ นายปรีดี พนมยงค์ ก็คนละแบบ

ก็คือสามัคคีเห็นพ้องกันช่วงแรกช่วงเดียวเท่านั้น แต่พอเปลี่ยนแปลงการปกครองได้แล้วต่างก็มีแนวทางแบบแผนประสาตนไป

จอมพล ป.นั้นเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าหนักมาทางขวาฟาสซิสม์ ชาตินิยม อยากเห็นไทยเป็นมหาอำนาจทางทหาร ขยายดินแดน มุ่งความทันสมัยตามแบบของยุคนั้น

การประกาศรัฐนิยม เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมของจอมพล ป. ทั้งเรื่องการแต่งกาย การกิน(ก๋วยเตี๋ยวและหมาก) การพูดจา ภาษาที่ใช้พูดเขียน ฯลฯ ไม่ใช่จู่ๆ ก็ลอยมาประสานึกโก้เก๋ดอกนะครับ

ที่แท้มีผลต่อโครงสร้างวัฒนธรรมอำนาจแบบเดิมโดยตรง!

แบบเดียวกับบูเช็คเทียนนั้นล่ะ แต่นี่เป็นเวอร์ชั่นแบบไทยๆ เปลี่ยนชื่อสยามมาเป็นไทย การพูดแบบใหม่ตามรัฐนิยมคือการล้างลำดับชั้นที่เราใช้ในภาษาดั้งเดิม การปลูกฝังค่านิยมใหม่อันว่าด้วยอุดมการณ์รัฐชาติแผนใหม่ ที่ไม่ใช่แบบเดิมๆ

แต่ที่สุด จอมพล ป. ก็ทำไม่สำเร็จ

การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงขนบวัฒนธรรม ปรับจูนให้เข้ากับกระบวนอำนาจปกครองแบบใหม่ไม่เป็นผลสำเร็จ

แม้จะมีอำนาจทางการเมืองมากมายเต็มที่ก็ตาม!

เรื่องราวของบูเช็คเทียนกับจอมพลป. ที่แท้ไม่ได้เก่าแก่ล้าสมัยเลยครับ... การเมืองยุคใหม่กว่าจอมพล ป. แบบที่ดำเนินในปัจจุบันก็มีลักษณะการหมุนทับอยู่ในรอยเดิมอยู่บ้าง ... สังเกตดีๆ น่าสนใจทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น