จดหมายเปิดผนึกเดือนตุลาคม ก่อนฤดูไฟ
ขอสื่อสารถึง รัฐบาลไทยและผู้เกี่ยวข้องเชิงนโยบาย เรื่อง การเตรียมรับพิบัติภัยมลพิษฝุ่นควัน2568 ด้วยภาษาแบบประชาชนดังต่อไปนี้ครับ
----------------------------------------------

คำถามคือ ในต้นปีหน้า 2568 จะมีฝนแบบปี 2565 ที่ตกถี่พรมบ่อยทางภาคเหนือหรือไม่ ? อย่าวางใจธรรมชาติแปรปรวน


แม่ทัพฝ่ายนโยบายเป็นจุดอ่อนที่ประชาชนยังกังวล

ฝ่ายนโยบายที่สั่งการเป็นทิศทางหลัก ควรต้องชัดเจน ให้ทำอะไร เพื่อผลลัพธ์อะไร

ลำพังการตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อน (hotspot) เป็น KPI นั้น มันก็ถูกในแง่ปฏิบัติการระหว่างวัน เพื่อเทียบเคียงว่า พื้นที่ไหนมี ไฟเกิด/เป็นไฟใหญ่/ไฟลามขนาดไหน เพื่อระดมเข้าไปจัดการ
แต่หากยึด KPI ลดจุดความร้อนให้ได้กี่ % เป็นสรณะด้านเดียว มันอาจจะเกิดศรีธนนไชย กอดแต่จุดควาามร้อน ไปตีความว่า ยังสามารถมีไฟได้กี่กอง จุดเองก็ได้หากไม่เกินโควต้า
บางแห่งประกาศห้ามเผาระหว่างช่วงเวลาห้ามเด็ดขาด แปลกันเองว่า ก่อนหน้านั้นเป็นช่วงปล่อยผี ให้เร่งเผาฟรี เผาให้เหี้ยน ให้จบๆ มันยังมีหน่วยงานปฎิบัติที่คิดเช่นนั้นอยู่
คำสั่งที่ชัดเจนของฝ่ายนโยบาย จึงควรกำหนดเป้าขนาดของผลกระทบ (ความเข้มและขนาดที่เกินมาตรฐานที่ยอมรับได้) ในระดับภาคโดยรวม เป็น KPI ที่ซีเรียสสุด ลำดับความสำคัญอันดับแรก
เอาผลกระทบประชาชนเป็นศูนย์กลางจริงๆ (ไม่ใช่อนุญาตให้เกิดไฟได้เท่าไหร่เป็นศูนย์กลาง) ของปฎิบัติการ

มันก็มีผลกระทบกับกลุ่มผู้ต้องใช้ไฟภาคเกษตร หากรัฐไม่มีอะไรไปรองรับก็ยังจำเป็นต้องใช้ เลยเกิดมีแนวทางบริหารจัดการไฟขึ้นมา เป็นอีกฟากของนโยบาย
ข้อเท็จจริงของการบริหารใช้ไฟที่จำเป็น ใน 3-4 ปีมานี้ ภาคเกษตรมีน้อย แต่ภาคป่า เผาในป่ามากสุด โดยบางทีก็ไม่มีการบอกกล่าวว่าจำเป็นอะไร แค่ไหน ไม่เพียงเท่านั้น ยังห่างไกลจากหลัก prescribe burns ที่ต้องเป็นกระบวนการมีส่วนร่วม ต้องควบคุมได้ ต้องมีคนรับผิดชอบ และต้องบอกกล่าวผู้รับผลกระทบ
จนถึงบัดนี้ พัฒนาการของแนวทางบริหารจัดการไฟ ที่ใช้แอพ อนุญาตให้เผาได้ภายใต้การควบคุมก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่ชัดเจน และบางแห่งก็ก่อผลกระทบไม่ต่างจากไฟป่าลอบเผา
รัฐต้องจัดการให้มีแบบแผนที่ชัดเจน ของการอนุญาตใช้ไฟจำเป็น และนี่เป็นลำดับความสำคัญที่ต้องให้เกิดมี
ถ้าไม่มีคู่มือแบบแผนวิธีการ มันก็จะยังมีศรีธนนไชย ผู้อ้างความจำเป็น อ้างโน่นนี่ ใช้ไฟก่อมลพิษเช่นเดิม ในนามของปฏิบัติการแก้ปัญหา

แหล่งกำเนิดมลพิษใหญ่สุดของภูมิภาคนี้คือ ไฟที่โล่ง ทั้งในป่าและภาคเกษตร เอาล่ะในเมื่อเรายังข้ามไปคุมเพื่อนบ้านไม่ได้ ก็ต้องคุมไฟในประเทศ พื้นที่หลักที่สุดก็คือไฟในป่า ทำอย่างไรให้น้อยที่สุด ถ้าจะมีก็เท่าที่จำเป็นที่สุด
แต่มันก็มีผู้ได้ผลประโยชน์จากไฟ ทั้งภาครัฐภาคประชาชน
ทุกฝ่ายก็จะบอกว่าของฉันจำเป็นที่สุด ... จนท.รัฐบอกว่า ถ้าไม่เผาตรงนี้ราษฎรก็แอบเผาอยู่ดี เพราะมันเป็นโม่งเห็ด เศรษฐกิจป่า เลยต้องเผาให้จบๆ แล้วพื้นที่เศรษฐกิจป่าที่ว่า มีเป็น 5-6 ล้านไร่เลยหรือ ? จนท.อยากทำ KPI เลยใส่พื้นที่ชิงเผาภาครัฐเยอะ แค่เพื่อจะกันออกจากพื้นที่ถูกไฟป่าเผา
ส่วนประชาชน ที่จำเป็นจริงๆ คืออะไร แต่ที่ไม่ได้จำเป็นมาก แค่เผาโล่งๆ เตียนๆ เดินไปหาของป่าได้ 5-6 ก.ม. ก็อ้างสวมว่าจำเป็น
ตกลงอะไรคือไฟที่จำเป็น นี่ก็คือประเด็นที่ต้องทำให้ชัดก่อนเข้าสู่ระยะเผชิญเหตุ มิฉะนั้น จะกลายเป็นว่า เนื้อหาของแผนปฏิบัติการของภาครัฐออกมาเพื่อรองรับกลุ่มผู้ได้ประโยชน์จากไฟ ไม่ได้ออกมาเพื่อรองรับผู้รับผลกระทบตัวจริง

ที่ผ่านมารัฐประกาศมาตรการสื่อสารประชาสัมพันธ์ แบบหลวมๆ เช่น แค่ให้สื่อออกข่าวว่า pm2.5 คืออะไร มีกลไกกลางที่ประกาศว่าตรงไหนค่าอากาศดีไม่ดี และพยากรณ์ล่วงหน้า
แต่ในระดับพื้นที่กลวงโบ๋ มีผู้ว่าฯซีอีโอ อ้างพรบ.ป้องกันบรรเทาสาธารณะภัย แต่ทุกจังหวัดไม่มีโฆษกสถานการณ์ เพื่อสื่อสารสาธารณภัย
เกิดเหตุอะไรตรงไหน ใครกำลังทำอะไร ไม่มีการบอกกล่าว
ยิ่งจังหวัดที่มีการบริหารจัดการไฟชิงเผา ยิ่งไม่บอกประชาชนทั่วไป ทุกจว.ที่มีประกาศห้ามเผาเด็ดขาด มีการสื่อสารถึงกลุ่มใช้ไฟทยอยเผา เป็นตำบล อำเภอ แต่ไม่เผยแพร่ให้สาธารณะรู้ ทั้งๆ ที่การใช้ไฟคือการปล่อยมลพิษนะ ทำไมไม่บอก
จังหวัดเชียงใหม่ที่มีระบบใช้แอพฯชิงเผามา 3 ปีก็ไม่มีการบอก ปีที่ผ่านมาเพิ่งมีแค่ตารางจองใช้ไฟที่ส่งในกลุ่มไลน์เฉพาะ แต่ ปชส.กลางไม่มีสื่อสาร มันทำให้เรื่องนี้กำจัดวงแคบๆ ระหว่างจังหวัดกับผู้ใช้ไฟ คนนอกไม่เกี่ยว ผู้รับผลกระทบไม่รู้
ปรัชญา การยึดประชาชนผู้รับผลกระทบเป็นศูนย์กลาง ยังไม่เกิดจริง

ปัญหาการเกิดไฟในป่าที่ไหม้ลาม ไม่ได้มีแค่ป่าอนุรักษ์ สังกัดกรมอุทยาน ยังมีป่าสงวน สังกัดกรมป่าไม้ก็จริง แต่ที่สุดก็ไม่มีคนรับผิดชอบจริงเพราะถ่ายโอนแล้ว ป่าชุมชน พื้นที่จัดสรรต่างๆ หรือกระทั่งรัฐวิสาหกิจ สองปีมานี้ มีไฟโผล่จากสันแนวเขื่อนภูมิพล ไหม้ออกร่วมๆ หมื่นไร่
การกระชับและบูรณาการระบบราชการ ยากมาก ยากที่สุดและต้องเอาใจใส่ตั้งแต่ก่อน ตุลาคม คือ ก่อนได้รับงบประมาณ ยุคทหาร กองทัพภาคมาคุมผู้ว่าฯ มีอำนาจมาก แต่แม่ทัพไม่รู้เรื่องอะไรเลย โตมากับทหาร ย้ายมาเป็นปีๆ แต่ให้คุมมลพิษ ก็ได้แค่ดูจุดความร้อน สั่งการไม่ให้มีจุดความร้อน เหมือนสั่งให้ทหารไปสู้อริราชศัตรู มายุคนี้ ก็ยังต้องใช้การสนับสนุนจากทหาร เครื่องมือ ฮ. หน่วยลาดตระเวน แต่จะบูรณาการอย่างไรภายใต้ระบบราชการ ที่มีกฎหมายมากมาย

เช่น แอ่งเชียงใหม่ ต้องรวมลำพูน และผนวกพื้นที่แหล่งกำเนิดต้นทางตั้งแต่เหนือเขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก / ร่องลม อุตรดิตถ์ แพร่ งาว มีการเผาใหญ่ที่เขื่อนสิริกิตติ์ มลพิษฝุ่นขึ้นไปเด่นชัย งาว พะเยา ที่อุตรดิตถ์ต้นทางไม่แดง ไปแดงบ้านเพื่อน ต้องไม่มีอีกแล้ว
ดังนั้นควรต้องมีการอำนวยการบูรณาการเพื่อจัดการขอบเขตผลกระทบในวงที่กว้างกว่าจังหวัด ให้เป็นไปทางทางเดียวกัน ควบคู่กับการบริหารจัดการเชิงลึก โดยผู้ว่าฯซิงเกิ้ลคอมมานด์
รัฐบาลนี้ ต้องจริงจังและลงลึกในการ กำหนดทิศทางนโยบายให้ชัด ที่ผ่านมามีหลายอย่างไม่ชัด และการเอาจริงในเชิงบริหารงานภาครัฐ งบประมาณช้ามาก และยังไม่มีประสิทธิภาพจริง ไอ้ที่ขาดก็ขาด ไอ้ที่เกินก็เหลือฟุ่มเฟือยเหมือนเยอะแต่ไร้ประโยชน์ กรมฝนหลวงบินเจาะรูโหว่ท้องฟ้าบนชั้นบรรยากาศ ใช้งบเท่าไหร่แต่ละปี ระบายได้เท่าไหร่ อยากรู้ เอางบนี้ให้หน่วยลาดตระเวนพื้นที่ เอาให้ชุมชนที่เขาตั้งใจสู้ไฟดีกว่า
เรียนมาเพื่อได้โปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถือและขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
11/10/67
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น