เส้นทางเดินเท้าสู่สิบสองปันนาของ "เจีย แยนจอง" วัยหนุ่ม.
ผู้แต่ง | บัณรส บัวคลี่ | หัวเรื่อง | แหล่งที่ | ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 40, ฉบับที่ 11 (ก.ย. 2562), หน้า 36-40 : ภาพประกอบ -- 01253654 | เส้นทางเดินเท้าสู่สิบสองปันนาของ "เจีย แยนจอง" วัยหนุ่ม. | ||||
บทความ
เส้นทางเดินเท้าสู่สิบสองปันนาของ “เจีย แยน จอง” วัยหนุ่ม
บัณรส บัวคลี่
เกริ่น –ระหว่างเวลา 14.00-16.30 น. ของวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2558 ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมคารวะ ศาศตราจารย์ ยรรยง จิระนคร (เจีย แยน จอง) ที่บ้านพัก ห้อง 301 อาคารจ้วนถางกงหยวน (สวนสาธารณะจ้วนถาง) นครคุนหมิง ท่านได้เล่าประวัติชีวิตวัยหนุ่มที่ถูกส่งมาเรียนกลับกลายคนไทยพลัดถิ่นในช่วงจังหวะที่มีการปฏิวัติใหญ่โดยพรรคคอมมิวนิสต์ กลับประเทศไม่ได้ สถานการณ์ชักนำให้ทำงานให้กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์กลายเป็นชาวจีนไปโดยปริยาย ในช่วงตอนหนึ่งท่านได้เล่าเรื่องการต้องเดินทางด้วยเท้ารอนแรมจากคุนหมิงไปยังเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา เมื่อปีค.ศ.1954 (2497) เพื่อไปทำงานกับชนกลุ่มน้อยชาวไทลื้อให้กับรัฐบาล นี่เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจยิ่ง สะท้อนถึงสภาพสังคมในยุคนั้น บ่งบอกถึงการคมนาคมเชื่อมโยงระหว่างสิบสองปันนากับพื้นที่ภายนอกว่ากันดารยากลำบากเพียงใด ทำให้เข้าใจว่าเหตุใดชาวไทลื้อสิบสองปันนาจึงยังสามารถรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมและระบบกษัตริย์เอาไว้ได้มายาวนาน บทความนี้เขียนเพื่อเป็นคารวาลัยในวาระการจากไปของอาจารย์ (12 ก.ค.2562) ทั้งนี้จะขอใช้ศักราช ค.ศ. ตามความทรงจำของอาจารย์เจีย และจะขออนุญาตใช้สรรพนามเรียกขานในบทความว่า อาจารย์เจียตามความเคยชินปกติที่ผู้เขียนเรียกขานท่าน
ศาสตราจารย์ เจีย แยน จอง หรือ ยรรยง จิระนคร นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านไทย-จีน โดยเฉพาะการศึกษาไทลื้อสิบสองปันนา ถือกำเนิดที่อำเภอหาดใหญ่ในครอบครัวใหญ่ของตระกูลจิระนครใต้การดูแลของขุนนิพัทธ์จีนนคร คหบดีเมืองหาดใหญ่
อาจารย์เจียบอกว่าตนมีศักดิ์เป็นหลาน “แต่เรียกคุณอาว่าเตี่ย” เมื่ออายุราว 17 ปี ถูกส่งไปศึกษาที่ประเทศจีนหลังจากนั้นไม่นานเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกองทัพคอมมิวนิสต์ (1949) ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ กลายเป็นผู้ตกค้างอยู่ในแผ่นดินจีน
ในช่วงเดือนธันวาคมปีค.ศ. 1949 เจีย แยน จอง ถูกส่งตัวจากกวางตุ้งไปยังคุนหมิง มณฑลยูนนาน โดยให้นั่งเรือจากกวางตุ้งไปยังกวางสีและจากกวางสีเดินเท้าไปถึงเมืองคุนหมิง เข้าค่ายอบรมผ่านกระบวนการเพื่อให้ทำงานให้กับรัฐบาลจีน ด้วยความที่สามารถพูดภาษาไทยซึ่งในขณะนั้นมีบุคลากรที่พูดภาษานี้จำนวนน้อยมากทำให้ปีค.ศ. 1952 ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ร่วมคณะทำงานของรัฐบาลทำงานเกลี้ยกล่อม ศึกษาพร้อมกับทำให้ชนกลุ่มน้อยเข้าใจในระบอบการปกครองใหม่ ต้องเดินทางจากเมืองคุนหมิงไปยังเชียงรุ่ง สิบสองปันนา
อาจารย์เจียบอกว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับบทเรียนจากการปฏิวัติรัสเซียที่ละเลยให้ความสนใจกับชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ ต่อมาเกิดปัญหาในการปกครอง เมื่อกองทัพของเหมาเจ๋อตงยึดอำนาจปกครองได้แล้ว การส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาเรียนรู้และเกลี้ยกล่อมเป็นหนึ่งในภารกิจระยะแรกเพราะประเทศจีนกว้างใหญ่ประกอบจากชนกลุ่มต่างๆ ที่ไม่ใช่ชาวฮั่นมากมาย สำหรับชาวไทลื้อที่สิบสองปันนาถือเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่มีประชากรเกินหนึ่งล้านคนแถมยังมีระบอบปกครองที่เข้ากันไม่ได้กับอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เพราะมีกษัตริย์เป็นเจ้านายปกครองสืบทอดต่อเนื่องมา
“สิทธิอำนาจของพวกเจ้านายนี่นะ คอมมิวนิสต์เขาเตรียมจะจัดการเอาไว้แล้ว เขาก็พยายามเกลี้ยกล่อม และการที่จะไปเกลี้ยกล่อมนี่นะเริ่มต้นเลยก็คือภาษา ถ้าเอาคนที่พูดลื้อไม่ได้ พูดยังไงก็ต้องมีล่ามอีกคน ผมสามารถเข้าถึงเจ้านายไทลื้อสื่อสารได้โดยไม่ใช้ล่าม ผมไปดูแลพวกเจ้านาย ค่ำไหนนอนนั่น การเกลี้ยกล่อมไม่ได้เอาเรื่องการเมืองอะไรบังคับเขา แค่ไปสนทนา ไปคุย แล้วก็ก๊งเหล้าด้วย” อาจารย์เจียเล่าถึงภารกิจ
ปัจจุบันเส้นทางรถจากนครคุนหมิงไปยังจิ่งหง (เชียงรุ่ง) ระยะทาง 521 ก.ม.ใช้เวลาขับไม่เกิน 7 ชั่วโมง พอๆ กับกรุงเทพฯไปอุดรธานี หรือไปลำปาง แต่ในยุคนั้นการเดินทางในมณฑลยูนนานยังยากลำบากอย่างยิ่ง ยังไม่มีถนนจากคุนหมิงไปยังสิบสองปันนา แถมภูมิประเทศของมณฑลนี้เต็มไปด้วยภูเขาสลับซับซ้อน
อาจารย์เจียเล่าว่า ช่วงปฏิวัติเสร็จใหม่ๆ สถานการณ์ความมั่นคงทางยูนนานยังไม่ดีนัก เพราะยังมีกองทัพก๊กมินตั๋งตั้งอยู่แถมมีซีไอเอ.ของสหรัฐอเมริกามาสนับสนุน รัฐบาลจึงต้องเร่งตัดถนนสายยุทธศาสตร์จากคุนหมิงไปยังสิบสองปันนาอย่างเร่งด่วน แต่กระนั้นถนนก็เพิ่งจะเริ่มสร้างได้เมื่อค.ศ. 1953 จนกองทัพคอมมิวนิสต์สามารถผลักดันก๊กมินตั๋งให้เดินทางสู่พม่าและต่อมาถึงชายแดนไทยได้ในที่สุด
ไม่มีถนน ดังนั้นการเดินทางของอาจารย์เจียมีแต่ต้องอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก หลายท่านอาจจะแย้งว่าเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนานั้นอยู่ติดแม่น้ำหลานฉังเจียง (แม่น้ำโขง) เหตุใดไม่เลือกเดินทางด้วยเรือ คำตอบก็คือหลานฉังเจียงนั้นเป็นแม่น้ำที่ไม่มีการสัญจรทางเรือ เหนือเมืองซือเหมาขึ้นไปเป็นเกาะแก่งกระแสน้ำเชี่ยวกรากเพราะเป็นต้นน้ำแถมภูมิประเทศหุบเขาสูงชัน แม้ว่าในยุคหลังมีเรือสัญจรได้ก็แค่ละแวกเมืองซือเหมาถึงสิบสองปันนาลงไปถึงชายแดนจีน/พม่าเท่านั้น ส่วนในยุคทศวรรษ 1950 สมัยที่อาจารย์เจียเดินทางยังไม่มีการเดินทางด้วยเรือ กระทั่งเดินทางไปถึงเมืองซือเหมาริมแม่น้ำแล้วก็ยังต้องเดินเท้าต่อจนถึงเมืองเชียงรุ่ง
สามารถจะกล่าวว่าเส้นทางการเดินเท้าครั้งนั้นคือบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงสุดท้ายของอาณาจักรสิบสองปันนาก็ว่าได้ ความยากลำบากในการเข้าถึงสะท้อนให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีก่อนหน้า อาณาจักรสิบสองปันนาได้รับการปกป้องโดยธรรมชาติ หุบเขาสลับซับซ้อนและแม่น้ำเชี่ยวกราก แม้ชาวไทลื้อยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของอาณาจักรจีนมาตั้งแต่โบราณ แต่อำนาจดังกล่าวก็แค่การยอมอ่อนน้อมใต้การปกครองเท่านั้น หาได้กระทบต่อวิถีวัฒนธรรม ภาษา ขนบประเพณีใดๆ การเข้าถึงที่สะดวกง่ายในยุคโบราณก็คือการเดินเท้าจากทิศตะวันออกด้านแม่น้ำแดงผ่านภูเขาสูงเข้าไป สำหรับคณะของอาจารย์เจีย แยน จอง ใช้เวลาการเดินเท้าจากแม่น้ำแดงถึงเมืองเชียงรุ่งนาน 15 วัน
“ปี 1952 ผมนั่งรถไฟเล็กที่จะไปฮานอย จากคุนหมิงไปถึงแถวๆ ใกล้ชายแดน ห่างจากด่านเหอโข่วประมาณไม่ถึงชั่วโมง เรียกว่าปี้เซอะใต้ จากนั้นก็นั่งรถไฟเหมืองเป็นรถรางที่ขนดีบุกไปยังเมืองใกล้แม่น้ำแดง จากที่นั่นเดินเท้าประมาณ 15 วันถึงเชียงรุ่ง วันหนึ่งๆ เดินประมาณ 30-40 กิโลเมตร เริ่มออกเดินฟ้ายังไม่รุ่งไปถึงจุดพักก็ค่ำแล้ว”
รายละเอียดของเส้นทางเดินเท้า ตั้งต้นจากเมืองเป่าซิ่ว Baoxiuzhen 宝秀镇 เป็นเมืองที่มีถั่วพู ที่มีชื่อที่สุดในยูนนานจนเดี๋ยวนี้ จากเป่าซิ่วเดินต่อต้องค้างคืนบนเขาสองคืนพักที่เมืองหยวนเจียง Yuanjiang 元江 哈尼族 彝族傣族 自治县 ริมแม่น้ำแดง ดูแผนที่ผ่านโปรแรมกูเกิ้ลแมพ ระยะทางรถจากเป่าซิ่วถึงหยวนเจียงปัจจุบันเพียง 83 กิโลเมตรใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ แต่หากพิจารณาสภาพภูมิประเทศประกอบเมืองเป่าซิ่งอยู่บนภูเขาสูงประมาณ 1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนเมืองหยวนเจียงอยู่ที่ราบริมแม่น้ำอยู่ที่ระดับความสูง 391 เมตร แต่เส้นทางที่จะไปนั้นยังต้องผ่านภูเขาระดับความสูง 1,600 เมตร อีกลูกหนึ่ง นั่นจึงเป็นคำตอบว่าเหตุใดต้องพักค้างบนภูเขาระหว่างทางถึงสองคืน
จากหยวนเจียง เดินอีกสามวันเป็นเส้นทางข้ามภูเขาอีกเช่นกันถึงเมืองเม่อเจียง Mojiang 墨江哈尼族自治县 เป็นเมืองที่มีชื่อเรื่องข้าวเหนียวดำ เส้นทางช่วงนี้นับว่าโหดที่สุดเพราะต้องข้ามเทือกเขาใหญ่อ้ายหลาวซาน Ailaoshan哀牢山ซึ่งเป็นภูเขาที่ทอดเฉียงจากต้าหลี่ขนานไปกับแม่น้ำแดงจนถึงชายแดนเวียดนาม
จากเม่อเจียง เดินอีกสองวันถึงเมืองที่มีเกลือสินเธาว์ มีชื่อไทลื้อว่าบ่อเกือ แต่ชื่อจีนเรียกเป็นหมอเหอะ หรือ หมอเฮ่ย Moheizhen 磨黑镇 เมืองหมอเหอะ-บ่อเกือ เป็นแหล่งผลิตเกลือสินเธาว์ของสิบสองปันนา จากที่นี่เดินเท้าอีกวันเดียวถึงเมืองผู่เออร์ Pu'er 普洱市 เมืองนี้เป็นแหล่งผลิตใบชาที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุด ใบชาหมักและอัดแท่งจากเมืองนี้ถูกส่งไปขายถึงธิเบตตามเส้นทางม้าต่าง แล้วก็ยังต้องเดินทางต่ออีกสองวันถึงเมืองซือเหมา Simao 思茅区 ริมแม่น้ำหลานฉังเจียง (แม่น้ำโขง) จากที่นี่ควรจะสามารถล่องเรือตามน้ำถึงเชียงรุ่งได้ภายในวันเดียว แต่ในยุคนั้นยังไม่มีการสัญจรทางน้ำ เพราะเรือยังเล็กสู้กระแสน้ำเชี่ยวเกาะแก่งไม่ได้
จากซือเหมาเดินอีกสามวันไปยังเมืองยาง Mengyangzhen 勐养镇 จากเมืองยาง เดินหนึ่งวันถึง เชียงรุ่ง ศูนย์กลางของดินแดนสิบสองปันนา รวมการเดินทางด้วยเท้าจากเป่าซิ่วถึงเชียงรุ่งเป็นเวลา 15 วัน และหากใช้โปรแกรมกูเกิ้ลแมพตั้งค่าการเดินจากเป่าซิ่วถึงเชียงรุ่งผ่านเส้นทางปัจจุบัน (ที่อาจจะไม่ตรงกับสมัยที่อาจารย์เจียใช้เดิน) รวมระยะทาง 501 กิโลเมตร ต้องผ่านภูเขาสูงระดับ 1,500-1,800 เมตรหลายลูก
อาจารย์เจียเล่าให้ฟังว่า ด้วยความกันดารของเส้นทางกินนอนกลางป่า และเมื่อถึงสิบสองปันนามีหน้าที่ต้องติดตามดูแลประสานงานเจ้านายไทลื้อประเภทจะไปไหนก็นอนที่นั่นได้ ไม่ได้ห่มผ้าห่ม ท้องเย็น มีผลต่อสุขภาพร่างกายเป็นโรคประจำตัวเกี่ยวกับช่องท้องติดตัวมา ขณะที่สนทนากับผู้เขียนอาจารย์เจียก็ยังใช้หมอนอิงทับส่วนหน้าท้องเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น กลายเป็นนิสัยติดตัวประการหนึ่ง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น