วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สมบัติเขื่อนยันฮี 3 ตอน ขุมทรัพย์เมืองลัวะ

สภาพน้ำเชี่ยวแรงของแก่งสร้อย จุดที่ตั้งของเมืองหน้าด่าน
สร้อยศรีสุข ภาพจากหนังสือล่องแม่ปิง 

พระธาตุเมืองสร้อยภาพจากสนง.วัฒนธรรมจ.ตาก
ก่อนน้ำท่วม เคยตั้งบนภูขาสูง

สมบัติเขื่อนยันฮี3 ตอน ขุมทรัพย์เมืองลัวะ




แม่น้ำปิงไม่เหมือนแม่น้ำทางภาคกลางภาคใต้ แม่น้ำทางภาคเหนือเล็กกว่าคลองบางแห่งของภาคใต้ภาคกลางเสียอีก น้ำไหลเร็วกว่าเพราะอยู่สูง แม่น้ำปิงนี่พิเศษตรงที่ไหลผ่านหุบเขาสูงชันตั้งแต่อ.ฮอด เชียงใหม่ และอ.ลี้ ลำพูนลงไปถึงอำเภอสามเงา ตาก ช่วงดังกล่าวในฤดูแล้ง น้ำไม่เป็นแม่น้ำ หากแต่เป็นโตรกธาร แก่งหิน น้ำเชี่ยว แต่พอไปถึงบริเวณอำเภอสามเงา จ.ตากน้ำจะเริ่มนิ่งและขยายใหญ่กว้างขึ้นเพราะลงสู่ที่ราบแล้ว



เขื่อนยันฮีเลือกจุดก่อสร้างเลือกปิดปากทางน้ำหุบเขาช่วงสุดท้ายก่อนจะลงสู่ที่ราบ ถ้ามองภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอ่างเก็บน้ำทะเลสาบเขื่อน โป่งตรงปลายสองข้างแถวๆ หน้าเขื่อน กับแถวๆ ทะเลสาบดอยเต่า พื้นที่ของเชียงใหม่ลำพูน แต่ส่วนตรงกลางเรียวแคบและยาว
ภาพรวมของทะเลสาบเขื่อน
ตรงกลางแคบเรียว
ภาพจาก:เว็บไซต์
ทิพย์ธาราทัวร์


ไอ้ส่วนเรียว แคบ และยาวตรงกลางนั้นล่ะครับ สมัยก่อนที่ไม่มีเขื่อนคือหุบเขาแคบๆ ที่พอให้น้ำมันไหลลงไป เชี่ยว แรง ตื้น มีแต่เกาะแก่งไม่เหมาะกับการเดินเรือ ในหน้าน้ำบางแก่งน้ำแรงมาก เรือที่จะผ่านไปต้องใช้เชือกผูกและโรยเอาทีละน้อยๆ จนพ้นแก่ง เรื่องนี้ พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ) เขียนบันทึกการเดินทางไปตรวจเยี่ยมหัวเมืองเหนือใช้ทางน้ำล่องกลับได้บันทึกไว้ละเอียด ว่ามีแก่งไหน ชื่ออะไร สภาพเป็นเช่นไร ทำให้คนรุ่นหลังพอทราบได้ว่า แม่น้ำปิงที่ถูกท่วมหายไปช่วงนั้น แต่เดิมเป็นเช่นไร

ส่วนยาวๆ รีๆ แคบๆ มีแต่แก่งขนาบด้วยเขาสูงที่ว่า มีระยะทางประมาณ 100 ก.ม.กลมๆ นั้นมีแต่ป่า ไม่มีที่ราบไม่มีบ้านเรือน ลักษณะที่ว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ดังนั้นแม้จะมีแม่น้ำแต่ไม่ที่ราบมากพอก็ไม่ตั้งบ้านเรือนอยู่กัน ดูแม่น้ำสาละวินก็ได้ เมื่อไหลจากจีนลงมาผ่านแต่หุบเขาสูง น้ำเลาะร่องระหว่างหุบเขาลงมา แทบไม่มีเมืองหรือชุมชนริมน้ำเลยหลายร้อยกิโลในเขตไตรัฐฉาน เมื่อมาถึงที่ราบในรัฐมอญนั่นล่ะค่อยมีบ้านเรือนชุมชนใหญ่

เกริ่นมานาน...ก็เพื่ออธิบายสภาพภูมิศาสตร์ก่อน เพื่อจะเข้าเรื่องเมืองสร้อย

พอเริ่มเข้าใกล้ที่ราบแอ่งเชียงใหม่ซึ่งอยู่ถัดจากอ.ฮอด และ อ.ลี้ลงไป ก็เริ่มมีผู้คนและชุมชนแล้ว พวกไตยวน โยนกอยู่พื้นที่ราบคือลำพูน เชียงใหม่ แต่พวกชาวป่าคือลัวะ กะเหรี่ยงอะไรนี่จะอยู่ขอบๆ ริมๆ กึ่งราบกึ่งเขา จึงเกิดมีชุมชนใหญ่แต่โบราณตั้งอยู่ ณ ทำเลพิกล กล่าวคือ เป็นทำเลที่เป็นหุบเขาขนาบแม่น้ำปิงช่วงที่มีแก่งร้ายที่สุด ไหลแรงเร็วและอันตรายที่สุด เรียกว่า แก่งวังสิงห์ แก่งสร้อย และ แก่งอุมหลุก จุดตรงนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ สมัยก่อนเป็นเมืองเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้ แต่สมัยรัตนโกสินทร์นี่ความทรงจำของคนบอกว่ามีอยู่ 2 เมืองตั้งประจันคนละฝั่งน้ำ

ถ้าล่องเรือมาจากเชียงใหม่ ซ้ายมือเรียกเมืองอุตมะ หรือ อุดม / อุตม ส่วนขวามือเรียกว่า เมืองสร้อย หรือ สร้อยศรีสุข ตั้งอยู่สุดเขตแดนอ.ลี้/ลำพูน ดอยเต่า/ เชียงใหม่ ต่อแดนกับจังหวัดตาก สมัยที่เริ่มก่อสร้างเขื่อนเขามาสำรวจเป็นสภาพเมืองกึ่งร้าง คือพอมีชุมชนแต่ก็ไม่ใหญ่เท่ากับซากเมืองเดิมทีเป็นร่องรอยบ่งบอกว่าตรงนี้เคยเป็นเมืองใหญ่ มีซากวัดวาอารามหลายวัด มีเจดีย์ใหญ่ กรมศิลปากรส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บโบราณสถาน พระพุทธรูปเอยอะไรเอยเอาไปก่อนน้ำท่วมถึงแต่ไม่ทันชาวบ้านและโจร

เมืองสร้อยคือเมืองสำคัญของพวกลัวะ หรือในพงศาวดารไทยเรียกละว้า ชาวบ้านบอกว่ามีวัดถึง 99 วัดแต่ก็ไม่มีใครสำรวจจริงจังก่อนที่น้ำจะท่วมหมดว่าถึง 99 วัด จริงหรือเปล่า...แต่อย่างไรก็ตามมีวัดเยอะแน่นอน ยุทธ เดชคำรณ ไปกับคณะที่เขาไปล่องแก่งก่อนน้ำท่วมบันทึกไว้ในหนังสือ ล่องแก่งแม่ปิง พรรณนาว่าเฉพาะที่เดินไปชมก่อนจะล่องแก่งต่อไปได้แค่ 4 วัด วังหลวงมีซุ้มประตูปูนปั้นรูปงูเห่ามีหงอน เป็นฝีมือช่างหลวง วิหารเจดีย์เหลือแต่ฐาน วัดนกยูงเหลือซุ้มประตูด้านข้างด้านใต้ปั้นรูปนกยูงรำแพน ใต้วัดนกยูงมีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์หน้าตักสองศอกพระเศียรไม่มี ลักษณะเป็นพระพุทธรูปเชียงแสนสมัยกลาง แล้วก็มีวัดเกตุมีเจดีย์ทรงผสมพม่ากับเชียงแสน วัดวาอารามที่ไม่ถูกน้ำท่วมเหลือแค่วัดเดียวคือวัดแก่งสร้อยมีเจดีย์ตั้งบนภูเขา พอน้ำท่วมถึงเลยเหลือวัดนี้และเจดีย์นี้ที่ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันเป็นหมุดหมายว่าตรงนี้เคยเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่มาก่อน บางตำราบอกว่าเป็นเมืองหลวงพวกลัวะเลยทีเดียว

เมืองสร้อยนี้เป็นเป้าหมายของขบวนการเก็บกวาดของมีค่าก่อนน้ำท่วม พวกศิลปากรมาทีหลังขนาดไม่ค่อยทันเขายังได้ไปหลายรายการ และขนาดถูกขนไปเยอะก่อนหน้าแล้วก็ยังเหลือ มีพระสงฆ์จากจังหวัดตากเอาเอาเรือมาสำรวจ ยังอัญเชิญพระพุทธรูปเชียงแสนทองคำขนาดใหญ่ มีทั้งปางแบบยืนและนั่ง มีพระพุทธรูปแกะสลักไม้ เขาว่าอยู่ที่วัดมณีบรรพต จังหวัดตากไม่รู้ปัจจุบันยังอยู่หรือเปล่า หรือเปลี่ยนที่เก็บแล้ว

พื้นที่จุดหนี้เป็นเมืองหน้าด่านมาแต่หริภุญไชย ต่อเนื่องเชียงใหม่ เพราะยกกำลังมามากมายแค่ไหน มาเจอแก่งใหญ่ต่อเนื่องกัน 3 แก่งก็ต้องชะลอ ค่อยๆ ผ่านอย่างทุลักทุเล

หมดจากยุคหริภุญไชยบริเวณแถวนี้ก็ยังเป็นเมืองของชาวป่า กะเหรี่ยง ลัวะ ที่ขึ้นตรงกับเชียงใหม่ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นิพนธ์เรื่องไทยรบพม่า (ครั้งที่19) สมัยพระนารายณ์เสด็จมาตีเชียงใหม่ ที่จริงทางหลักคือยกทางบกผ่านกำแพงเพชร เมืองเถิน ลำปาง ข้ามดอยไปลำพูน แต่ก็มีทัพรองอีก ยังเอ่ยถึงการตีเมืองกะเหรี่ยงละว้าที่ขึ้นเมืองเชียงใหม่อีกหลายเมือง คือ เมืองอินทรคีรี เมืองรามตี และเมืองด่านอุมลุก ...ด่านอุมลุกนี่คือ แก่งสำคัญก่อนถึงเมืองสร้อยครับ บางฉบับเขียนอุมหลุก แสดงว่ามีทัพอยุธยาที่ไปทางน้ำเหมือนกัน

เมืองสำคัญแบบนี้เวลารบพุ่งกันทีก็เป็นเป้าหมายของการโจมตี ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงกลายเป็นเมืองร้างไปซะ แต่ก็นั่นล่ะ ขนาดเชียงใหม่ยังร้างอยู่หลายสิบปี ก่อนที่พญากาวิละจะฟื้นกลับมา

ด้วยความที่พื้นที่ละแวกนี้มีโบราณสถาน เป็นเมืองโบราณย้อนไปถึงหริภุญไชย อยุธยา นึกขึ้นได้ เอ....ขุนแผนมาตีเชียงใหม่ได้นางลาวทองก็คงผ่านแถวนี้ ฮาๆ ไม่ผ่านได้ยังไง ก็ควงนางลาวทองไปจอมทอง ไปลำพูน พื้นที่ใกล้ๆ จากเส้นทางเรือชัดๆ  ความโบราณที่ว่ามันจึงเกิดมีตำนานว่าด้วยขุมทรัพย์ ลายแทงเล่าขานกัน ซึ่งไม่ใช่มีแค่ที่เมืองสร้อยจุดเดียวนะครับ มีหลายจุด หลายตำนาน ที่แก่งแจ้กอะไรสักอย่างก็มีตำนานเงินแสนของนางพญาลัวะ คือนิทานพื้นบ้านแถวนี้มีแต่เรื่องนางจามเทวี กับเจ้าเมืองลัวะเป็นสำคัญ ...ก็เขตอิทธิพลเขานี่

ปริศนาลายแทงที่โด่งดังของเมืองสร้อย ที่ยังตกทอดมาถึงปัจจุบันเพราะมีผู้บันทึกไว้ (ไม่สูญหายเหมือนเวอร์ชั่นอื่น) เช่น ..

“ม้าอยู่เหนือเสืออยู่ใต้ ของดีอยู่ใกล้น้ำไหลทรายมูล”


อีกเวอร์ชั่นคล้ายๆ กัน


“ม้าอยู่เหนือเสืออยู่ใต้ ใครอยากได้ เลือดไหลออกไป”



เขาว่ากันว่า...การจะตีความลายแทงเพื่อไปหาขุมทรัพย์เมืองลัวะ สร้อยศรีสุข หรือเมืองอุตมนี้ต้องสังเกตดูจากสภาพภูมิศาสตร์แวดล้อมรอบๆ ด้วยจึงจะตีความปริศนาได้ แต่ทว่าเมืองสร้อย เมืองอุตมมันจมน้ำไปแล้วง่า....

ก็นี่ยังไงล่ะจังหวะเหมาะ ระดับน้ำในเขื่อนลดต่ำสุดในรอบ 50 ปี!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น