โดย กุรุ กุเฮน
ตอน : นักการทูตพบผู้สื่อข่าว
หลี่เจี่ยเหิง
หอบหิ้วสัมภาระสองมือ เดินจากลานจอดรถเข้ายังห้องโถงโรงแรมด้วยความรู้สึกปะปนกันระหว่างเหนื่อยอ่อนกับเหนื่อยหน่าย เขาแทบลืมไปแล้วว่ามายังที่นี่ด้วยภารกิจใดเพราะตลอดบ่ายวันนี้มีแต่ท่องเที่ยวเล่นแล้วก็ฟังศาสตราจารย์หลิวกับผู้พันฟู่ทะเลาะกัน
หลังจากลงจากเขาหัวแดงแล้วศาสตราจารย์หลิวกางแผนที่ชี้นิ้วให้ไปที่เกาะยอเพื่อไปดูพิพิธภัณฑ์จากนั้นก็ว่าจ้างเรือยนต์ล่องเที่ยวเล่นในทะเลสาบไปไกลถึงจุดช่องแคบเชื่อมระหว่างทะเลสาบตอนนอกกับตอนในที่เรียกว่าปากรอจนกระทั่งพลบค่ำแทนที่จะรีบกลับขึ้นฝั่งศาสตราจารย์หลิวกลับสั่งหยุดเรือเพื่อจะถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตก
ผู้พันฟู่ก็ไปร่วมอยู่ด้วยทุกแห่งแต่ดูเหมือนไม่สนุกนัก
หลี่เจี่ยเหิงแอบเห็นสองคนนั้นถกเถียงกันเรื่องกำหนดการพรุ่งนี้
ศาสตราจารย์ยืนยันจะนั่งรถทางไกลรอบทะเลสาบตามแผนที่วางไว้ส่วนผู้พันฟู่อยากจะกลับไปที่อำเภอเขาชัยสนบริเวณที่ขุดพบทองคำ หลี่เจี่ยเหิงแอบได้ยินศาสตราจารย์แย้งว่ารอให้ทางปักกิ่งยืนยันข้อมูลและมีความเห็นเพิ่มเติมมานี่เป็นสิ่งที่ผู้พันฟู่อยากให้ดำเนินการเช่นนี้เองฉะนั้นควรจะรอคำตอบจากปักกิ่งเสียก่อน
นักการทูตหนุ่มน้อยแปลกใจอยู่บ้างกับความสัมพันธ์แปลกประหลาดระหว่างคนทั้งสอง
ผู้พันฟู่มักจะตำหนิหรือไม่ก็หักหน้าศาสตราจารย์หลิวอยู่บ่อยครั้ง มองเผินๆ
เหมือนจะขัดแย้งกันแต่ศาสตราจารย์หลิวกลับไม่มีท่าทีแยแสนำพา
ทำเป็นไม่ได้ยินบ้างไม่สนใจบ้าง ก็แปลก ที่บางทีแกทำเหมือนกลัวหงอบางทีก็แกล้งไม่รับรู้แต่บางทีก็ขึ้นเสียงเถียงไม่ตกฟากชายหนุ่มพยายามคิดว่านี่เป็นบุคลิกที่ขัดแย้งกันเองของคนที่ฉลาดมากๆ
ก็อาจเป็นได้...ศาสตราจารย์หลิวว่าแปลกมนุษย์แล้วมองมาทางผู้พันฟู่ก็ประหลาดไม่แพ้กัน เพราะผู้พันแม้ดุดันเสียงแข็งดูก้าวร้าวแต่ที่สุดก็ยอมโอนอ่อนให้กับศาสตราจารย์ทุกคราไป
ต่อให้โมโหแค่ไหนสักครู่ก็เข้ามาพูดคุยด้วยดีทำหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
จากการที่คลุกคลีทำงานด้วยกันเป็นเวลาหลายวันเขาเริ่มจัดลำดับน้ำหนักของคนทั้งคู่ได้บ้าง
ผู้พันฟู่ท่าทีเหมือนจะเด็ดขาดแต่แท้จริงไม่มีอำนาจตัดสินใจสุดท้ายจึงทำได้แค่แย้ง
กระตุก
หรือกระทั่งขัดขวางในแค่บางรายละเอียดปลีกย่อย..แต่ที่สุดก็ไม่ใช่ผู้กำหนดแผนใหญ่
เมื่อบ่ายระหว่างที่คนทั้งคู่เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่เกาะยอ หลี่เจี่ยเหิงแอบปลีกตัวโทรศัพท์ไปรายงานการทำหน้าที่ของเขาต่อท่านทูตยังแอบบ่นเล็กน้อยเรื่องการที่ไม่มีแผนงานตายตัวและไม่รู้เป้าหมายของภารกิจที่แน่ชัด ท่านทูตได้แต่ปลอบโยนมาว่านี่เป็นเรื่องปกปิด ให้คิดเสียว่าการออกเที่ยวเล่นของศาสตราจารย์และผู้พันคือการทำงานเก็บข้อมูลถ้าเรื่องไม่ใหญ่ไม่สำคัญจริงๆ ปักกิ่งคงไม่ส่งคนเหล่านี้ออกมา
เมื่อบ่ายระหว่างที่คนทั้งคู่เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่เกาะยอ หลี่เจี่ยเหิงแอบปลีกตัวโทรศัพท์ไปรายงานการทำหน้าที่ของเขาต่อท่านทูตยังแอบบ่นเล็กน้อยเรื่องการที่ไม่มีแผนงานตายตัวและไม่รู้เป้าหมายของภารกิจที่แน่ชัด ท่านทูตได้แต่ปลอบโยนมาว่านี่เป็นเรื่องปกปิด ให้คิดเสียว่าการออกเที่ยวเล่นของศาสตราจารย์และผู้พันคือการทำงานเก็บข้อมูลถ้าเรื่องไม่ใหญ่ไม่สำคัญจริงๆ ปักกิ่งคงไม่ส่งคนเหล่านี้ออกมา
วันพรุ่งนี้ศาสตราจารย์หลิวกำหนดจะสำรวจรอบๆ
ทะเลสาบขับรถออกจากหาดใหญ่ไปทางอำเภอสทิงพระเลียบทะเลสาบขึ้นเหนือจะแวะรายทางดูสภาพภูมิประเทศ
จุดที่ถูกกำชับให้จอดถ่ายรูปดูให้ได้อีกจุดหนึ่งคือปากระวะ กับคลองระโนด ซึ่งเป็นทางเชื่อมทะเลหลวงกับทะเลสาบที่สมัยก่อนมีเรือเดินสมุทรเข้าออกได้อีกจุดหนึ่งจากนั้นจะอ้อมทะเลสาบตอนเหนือมาทางพัทลุงเลาะดูทะเลน้อย
เรื่อยลงมาที่หาดใหญ่อีกคำรบ ซึ่งนี่ก็กินเวลาไปอีกหนึ่งวัน
คงจะเป็นวันที่เหนื่อยอ่อนแม้จะเป็นการนั่งรถเสียเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม
ชายหนุ่มเดินไปถึงเคาน์เตอร์ต้อนรับบอกเลขห้องพักกับพนักงานสาวสวยผิวคล้ำตาคม
เธอก้มหยิบกุญแจแล้วก็เอ่ยถามขึ้น
“ใช่คุณเวทย์จากสถานทูตจีนหรือเปล่าคะ
มีของฝากไว้ค่ะ”
หลี่เจี่ยเหิง
กำลังจะบอกปฏิเสธไปว่าไม่ใช่แต่นึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ยิ้มให้พนักงานสาวพยักหน้าสวมรอยรับสมอ้างเป็นนายเวทย์
พนักงานสาวก้มลงหยิบถุงใบขนาดย่อมขึ้นมาส่งให้
หลี่เจี่ยเหิงนอนเตียงคู่ห้องเดียวกับเวทย์อยู่แล้วรับถุงมาพร้อมกับขอกุญแจห้องพักขึ้นไป
เปิดประตูห้องพักแล้วยอมเสียมารยาทแอบเปิดปากถุงดู
ข้างในนั้นมีไก่ย่างสีแดงสี่ไม้ท่าทางน่ากินใส่ห่อพลาสติกอีกชั้น
มีกระดาษโน้ตใบเล็กเขียนไว้
"ทราบว่าพี่เวทย์อยากกินไก่ย่างอิสลาม พอดีผมผ่านไปแถวสวนสาธารณะหาดใหญ่ เลยซื้อมาฝาก ถ้าว่างวันไหนออกไปเที่ยวกัน // ณขจร เทียนธรรมออนไลน์"
หลี่เจี่ยเหิงอ่านภาษาไทยคล่อง
รู้จักสื่อใหญ่ในประเทศนี้แทบทุกสื่อ พอเห็นชื่อเทียนธรรมออนไลน์เขาก็จำได้ทันทีว่านี่เป็นสำนักข่าวใหญ่ที่มีชื่อเสียงแถวหน้าของประเทศนี้
มีทั้งโทรทัศน์ดาวเทียม
หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ข่าวที่มีผู้เข้าชมต่อวันสูงที่สุดเป็นลำดับต้น
แวบแรกที่ผุดขึ้นในใจก็คือความแปลกใจ
ไม่เคยรู้มาเลยว่านายเวทย์พนักงานขับรถของสถานทูตรู้จักผู้สื่อข่าวสำนักข่าวนี้ด้วย
ชายหนุ่มเก็บกระดาษโน้ตแผ่นนั้นกลับเข้าที่เดิมวางถุงของฝากไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก
จากนั้นเขาก็เข้าห้องน้ำทำธุระออกมานายเวทย์ยืนเคาะประตูเรียกอยู่แล้ว
“มีคนฝากของมาให้แน่ะพี่เวทย์”
หลี่เจี่ยเหิงอยู่เมืองไทยนานพอที่ใช้สรรพนามเรียกขานให้เหมาะสมกับสถานการณ์
แม้เวทย์จะมีตำแหน่งเป็นพนักงานขับรถแต่ก็เป็นคนเก่าแก่อยู่มานานกว่า
หลี่เจี่ยเหิงเป็นคนหนุ่มที่ชมชอบการคบหาสมาคมไม่แบ่งแยกลำดับชั้นสูงต่ำ
เขาเรียกเวทย์ว่าพี่เวทย์ตั้งแต่แรกที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ จนสนิทสนมกันออกมาต่างจังหวัดรอบนี้ก็ไม่ตะขิดตะขวงจะนอนพักในห้องเดียวกัน
ซ้ำยังดีกว่าตรงที่สามารถปรึกษาหารือวางแผนงานต่างๆ ได้สะดวก
เวทย์ขมวดคิ้วแปลกใจ แต่เมื่อเปิดถุงดูพบว่าเป็นไก่ย่างอิสลามพร้อมกับอ่านกระดาษน้อยที่แนบมาก็ยิ้มออก...เมื่อวานตอนค่ำนักข่าวชื่อจอนคนนั้นโทรศัพท์หาเขาเมื่อคืนถามว่าพักที่โรงแรมอะไรก็บอกไปตามตรงไม่นึกว่าจะใจดีเอาของถูกใจมาฝาก รีบเอ่ยปากชักชวนให้หลี่เจี่ยเหิงมาร่วม “ชิม”
ไก่ย่างแบบปักษ์ใต้ที่รสชาติไม่เหมือนกับไก่ย่างทางภาคอื่น
ชายผู้หิวโหยสองคนหนึ่งจีน-หนึ่งไทยเลื่อนเก้าอี้พร้อมกับโต๊ะรับแขกใบเล็กมาที่หน้าต่างแล้วก็นั่งฉีกไก่ย่างสีแดงที่มีส่วนผสมเครื่องปรุงฉ่ำฉาบอยู่ที่ผิวด้านนอก หลี่เจี่ยเหิงกินไปพลางยกนิ้วชมเชยไปพลางบอกว่าไม่เคยกินไก่ย่างแบบนี้มาก่อนเลย เวทย์ต้องอธิบายความเป็นมาของอาหารพื้นเมืองชนิดนี้เท่าที่ทราบให้ฟัง
ชายผู้หิวโหยสองคนหนึ่งจีน-หนึ่งไทยเลื่อนเก้าอี้พร้อมกับโต๊ะรับแขกใบเล็กมาที่หน้าต่างแล้วก็นั่งฉีกไก่ย่างสีแดงที่มีส่วนผสมเครื่องปรุงฉ่ำฉาบอยู่ที่ผิวด้านนอก หลี่เจี่ยเหิงกินไปพลางยกนิ้วชมเชยไปพลางบอกว่าไม่เคยกินไก่ย่างแบบนี้มาก่อนเลย เวทย์ต้องอธิบายความเป็นมาของอาหารพื้นเมืองชนิดนี้เท่าที่ทราบให้ฟัง
เลขานุการหนุ่มรอจังหวะอันเหมาะสม
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพลิดเพลินกับการสนทนาผ่อนคลายดีแล้วจึงค่อยแหย่คำถามแรกที่อยากรู้ออกไป
“ไม่ยักรู้ว่าพี่เวทย์มีเพื่อนฝูงอยู่ที่หาดใหญ่”
“โอ้ย..ไม่เชิงเพื่อนหรอกครับคุณหลี่เพิ่งรู้จักกันนี่เองบังเอิญคุยถูกคอ...
คนที่ฝากไก่ย่างให้น่ะชื่อว่าจอน ทำงานเป็นนักข่าว เจอกันเมื่อวานตอนที่ไปอำเภอเขาชัยสนระหว่างที่คุณหลี่ขึ้นไปคุยธุระบนอำเภอนั่นล่ะครับ
เขาเข้ามาทักก่อนผมก็เลยถือโอกาสถามข้อมูลเกี่ยวกับการขุดพบทองคำได้ตั้งหลายเรื่อง
นายจอนคนนี้กว้างขวางนะน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลในพื้นที่ได้ อันที่จริงผมกะว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณหลี่ฟังอยู่แล้ว
บังเอิญคุณหลี่ถามขึ้นก่อน”
เวทย์พูดพลางฉีกไก่ย่างจากไม้ไปพลางไม่มีท่าทีเอะใจหรือสงสัยว่าตนถูกล้วงถาม
“เขาเข้ามาหาพี่เวทย์ก่อนหรือ” คราวนี้หลี่เจี่ยเฉิงตามตรงๆ
สิ้นคำถามนี้นายเวทย์เริ่มรู้ตัวว่าถึงรอบที่ต้องตอบคำถามอย่างระมัดระวังแต่ก็ยังส่งไก่เข้าปากเคี้ยว
หน้าก็พยักรับฟังไปสมองคิดหาคำตอบสวยๆ
“อ๋อ
ผมไปจอดรถข้างๆ ที่เขานั่งอยู่พอดีครับเลยได้คุยกัน
ผมบอกแค่ว่ามาจากสถานทูตจีนแต่ไม่พูดเรื่องไปดูทองคำอะไรเลย” คราวนี้นายเวทย์จำต้องโกหกเพราะไม่แน่ใจว่าเจ้านายทั้งหลายในสถานทูตต้องการเปิดเผยหรือ
ปกปิดภารกิจระดับใดแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ตำแหน่งพนักงานขับรถอย่างเขาไม่ควรมีปากไว้พูดกับคนนอกอยู่แล้ว
ปกปิดภารกิจระดับใดแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ตำแหน่งพนักงานขับรถอย่างเขาไม่ควรมีปากไว้พูดกับคนนอกอยู่แล้ว
“นักข่าวจอนคนนี้เขารู้อะไรมาบ้าง...เรื่องทองคำน่ะพี่เวทย์” หลี่เจี่ยเหิงเปลี่ยนประเด็น
เวทย์รู้สึกเหมือนขับรถผ่านโค้งอันตรายเข้าสู่ทางตรงแล้วคิดในใจคุณหลี่ไม่ได้ตำหนิอะไรที่เขาคบหากับนักข่าว
จึงตอบไปอย่างสบายใจว่า
“เขาไปสัมภาษณ์ชาวบ้านที่ขุดทอง
มีคนขายทองได้เป็นแสน เอ่อ...สามแสนบาทก็มี
แล้วก็มีทองแผ่นที่มีอักษรจีนประทับอยู่ด้วยนะเหมือนว่าเข้าไปทำข่าวที่พัทลุงตั้งแต่วันแรกที่มีข่าวเจอทอง”
หลี่เจี่ยเฉิงหูผึ่งตรงที่พบทองคำแผ่นที่มีอักษรจีน คิดในใจนักข่าวคนนี้น่าจะเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญได้
ยังไม่ทันจะพูดอะไรนายเวทย์เอ่ยปากขออนุญาต
“คืนนี้ถ้าผมติดต่อเขาได้ผมจะขอตัวออกไปหากาแฟกินกับเพื่อนใหม่ได้ไหมครับ
เพราะได้ยินว่าศาสตราจารย์หลิวกับผู้พันคงไม่ออกไปไหนแล้ว…คุณหลี่จะไปด้วยกันไหม”
ปากเร็วเท่าความคิดหลี่เจี่ยเฉิงรีบบอก
“ผมไปด้วยสิพี่
วันนี้เครียดกับต้องเป็นล่ามให้กับแขกพิเศษของเราเหลือเกิน
อยากจิบเบียร์ดูแสงไฟในเมืองสักหลายแก้ว แต่ขอให้กลับก่อนเที่ยงคืนก็แล้วกัน”
เมื่อสัญญาณไฟเขียวเปิดโร่สารถีประจำสถานทูตไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดทันที
เสียงริงโทนเพลงสะพานไม้หมากของวงสะพานดังจากโทรศัพท์มือถือที่เสียบสายชาร์ตแบตเตอรี่ค้างไว้อยู่ที่มุมห้องสำนักงาน
จอน-ณขจร จันทรา เหยี่ยวข่าวแห่งเทียนธรรมออนไลน์ที่กำลังง่วนพิมพ์งานหน้าจอคอมพิวเตอร์รีบกดปุ่มเซฟงานที่พิมพ์ค้างไว้แล้วลุกขึ้นไปรับสาย
ก้มดูหน้าจอปรากฏชื่อเวทย์จากสถานทูตจีนมิตรใหม่ที่เขากำลังผูกไมตรีนั่นเอง
จอนฝึกตนเองให้เก็บรายชื่อและเบอร์ติดต่อคนที่รู้จักเอาไว้แม้คนผู้นั้นเพิ่งจะรู้จักกัน
อาชีพของเขาเป็นอาชีพที่ต้องติดต่อประสานงานกับผู้คนหลากหลาย
วันนี้เรื่องเศรษฐกิจต้องคุยกับพ่อค้าอีกวันอาชญากรรมต้องหาตำรวจมาคุย
การจดจำชื่อและรักษาสายสัมพันธ์คนรู้จักเป็นส่วนหนึ่งของงานอาชีพที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการหาข่าวสาร
“หวัดดีพี่เวทย์
ฮาๆ นึกแล้วต้องโทรมา ได้กินไก่ย่างแล้วใช่ไหม
ผมบังเอิญผ่านไปพอดีโรงแรมที่พี่พักก็ทางผ่านเลยแวะเอาไปฝากให้” จอนเริ่มบทสนทนาแบบเป็นกันเองตามแบบฉบับของเขา
เสียงเวทย์ตอบขอบคุณของฝากดังกลับมาในสาย
ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบและเอ่ยถามว่าหากเขาต้องการหาที่นั่งสบายๆ
จิบเครื่องดื่มชมทิวทัศน์ควรจะไปที่ใด จอนแนะนำสถานที่ไปให้กำลังจะแหย่ถามต่อว่าไปกับใครเสียงปลายทางก็เอ่ยชักชวนขึ้นก่อน
“น้องจอนว่างหรือเปล่าคืนนี้
มานั่งจิบอะไรเย็นๆ คุยกันหน่อยไหม คุณหลี่เลขานุการสถานทูตอยากคุยด้วย”
สำหรับจอนแล้วการพบปะกับบุคคลในสถานกงสุลหรือสถานทูตต่างชาติไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรเพราะสงขลา-หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของภาคใต้มีสถานกงสุลสำคัญจากหลายประเทศตั้งอยู่ที่นั่นเขาคุ้นเคยดีกับการได้รับเชิญไปจิบน้ำชาพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งมักจะเป็นฝ่ายตัวเขาถูกต่างชาติซักถามเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่แปลกใจที่เจ้าหน้าที่ทูตจีนอยากพบเขาที่จริงเขาตีสนิทกับพนักงานขับรถของสถานทูตก็เพื่ออยากจะมีช่องทางต่อสายสัมพันธ์ไว้บ้างยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ของสถานทูตเปิดโอกาสให้ยิ่ง “เข้าทาง” ของเหยี่ยวข่าวหนุ่มรีบตกลงรับนัดหมาย
จอนกลับมานั่งประจำโต๊ะทำงานรีบพิมพ์ชิ้นงานที่ค้างไว้จนเสร็จดูนาฬิกาเกือบสองทุ่ม
เพื่อนๆ ที่เหลืออยู่ในสำนักงานสองสามคนเตรียมตัวจะกลับเช่นกัน ภารกิจการงานของเขาไม่เป็นเวลา
บางวันกลับเร็วบางวันมีข่าวเร่งด่วนแม้ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ต้องอยู่ทำให้เสร็จ
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง มีเวลาเหลือพอจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ให้สดชื่น ที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานและจุดที่นัดหมายก็เป็นทางตรงไม่ต้องเข้าเมืองขับทำเวลาจริงๆ แค่สิบห้านาทีก็ถึง
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง มีเวลาเหลือพอจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ให้สดชื่น ที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานและจุดที่นัดหมายก็เป็นทางตรงไม่ต้องเข้าเมืองขับทำเวลาจริงๆ แค่สิบห้านาทีก็ถึง
ใกล้สามทุ่มคืนนั้น
หลี่เจี่ยเฉิงกับนายเวทย์ปรากฏกายขึ้นที่ร้านอาหารบนเนินสูงย่านถนนกาญจนวนิชอันมีแสงไฟจากตัวเมืองระยิบระยับกว้างใหญ่สุดตาเป็นฉากประดับ
ยังไม่ทันที่สองหนุ่มน้อยใหญ่จะก้าวเข้าประตูร้านเสียงทักทายก็ดังขึ้นก่อน
“อ้าวพี่เวทย์มาถึงเร็วจัง” จอนยกมือโบกให้พร้อมทักทาย
ส่งยิ้มให้กับเวทย์และผงกศีรษะให้กับหนุ่มจีนหน้าขาวที่เดินมาคู่กัน
เวทย์กรากเข้ามาจับมือเพื่อนใหม่ที่ได้ต่อเชื่อมสัมพันธ์ปากทักทาย
จอนทักทายตอบพร้อมกับลอบสังเกตอากัปกิริยาของหนุ่มจีนหน้าขาวที่ยืนตัวตรงอยู่ด้านข้าง
หนุ่มหน้าขาวคนนี้อายุราว 25-30 ปี
แต่บุคลิกท่าทางดูผู้ใหญ่เกินตัวยืนนิ่งจ้องมาที่ตัวของเขาฉาบรอยยิ้มบนใบหน้ารอจังหวะทักทายหนุ่มชาวไทย
จนจอนต้องหันไปทักทายก่อน
“สวัสดีครับ คงเป็นคุณหลี่...ไม่ทราบพูดไทยได้หรือเปล่า” พร้อมกับยื่นมือออกไป
หลี่เจี่ยเฉิง ยกมือขวายื่นมาจับ “สวัสดีครับ พูดได้นิดหน่อยครับ” สำเนียงแปร่งไปบ้างแต่ก็ถือว่าดีทีเดียวสำหรับชาวจีน
การสนทนาหลังแก้วเบียร์บนโต๊ะริมระเบียงของร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงโดยมีแสงไฟของตัวเมืองหาดใหญ่ดารดาษวิบวับดุจทะเลดาวสุดหูสุดตาเป็นฉากเป็นบรรยากาศช่วยให้พักผ่อนหย่อนคลายได้ดีเยี่ยม
เวทย์ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่พอหอมปากหอมคอซักถามพอทราบเรื่องราวส่วนตัวและความเป็นมาของจอนพอประมาณแล้วก็ค่อยๆ
สงบเสียงลงเพราะหลี่เจี่ยเหิงมีเรื่องราวมากมายและน่าสนใจกว่าช่วงชิงเวลาส่วนใหญ่ของการสนทนาไปเป็นของตน
เวทย์กลับพึงพอใจที่ได้พักผ่อนเอนหลังฟังคนคุยหลังแก้วเครื่องดื่มในบรรยากาศผ่อนคลาย
อาชีพของเขามีเวลาพักที่เป็นตัวของตัวเองไม่มากนัก
ตอนนี้เขากำลังมีความสุขกับบรรยากาศพักผ่อนไม่อยากเก็บเกี่ยวการสนทนาอื่นใดให้รกอารมณ์
หลี่เจี่ยเหิงสมกับเป็นคนของกระทรวงการต่างประเทศแม้มีประสบการณ์ไม่มากแต่ก็ไม่ใช่ไก่อ่อนไร้ประสบการณ์
เขาชักชวนอีกฝ่ายพูดคุยสารพัดเรื่องราวพร้อมกับหาช่องจะวกเข้าสู่ประเด็นที่ต้องการได้ทุกเมื่อ
นักการทูตต้องคุยเป็น คุยสนุกแต่ก็ไม่ลืมเป้าหมายที่ต้องการจากการสนทนา
สิ่งที่หลี่เจี่ยเฉิงต้องการก็คือ “ข้อมูล”
การขุดพบทองคำที่พัทลุงจากปากของนักข่าวภาคสนามที่รู้จักผู้คนเกี่ยวข้องมากมาย อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับทองคำพัทลุงล้วนเป็นเรื่องที่เขาต้องรับรู้ไว้ประเด็นที่หลี่เขาอยากรู้ที่สุดก็คือทองคำแผ่นที่มีอักษรจีนประทับที่น่าจะเป็นกุญแจไขปริศนาต่างๆ
ขนาดที่ศาสตราจารย์หลิวกับผู้พันฟู่ต้องเดินทางด่วนจากปักกิ่งมายังที่นี่ จะเป็นการดีหากนักข่าวไทยคนนั้นสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้
สำหรับหลี่เจี่ยเหิงนี่คือภารกิจหาข้อมูลที่ใช้การสนทนาสังสรรค์ดื่มกินมาบังหน้า
แต่จอนคิดไม่เหมือนกับหลี่เจี่ยเหิง...เขาคิดว่าการสนทนาสังสรรค์กับภารกิจหน้าที่หาข้อมูลเป็นเรื่องเดียวกัน การหาข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับการอาบน้ำกินข้าว ก่อนจะมาถึงที่นี่จอนกำหนดเป้าหมายในใจอยู่แล้วว่าควรจะได้สิ่งใดเป็นผลพลอยได้จากวงดื่มกินสนทนารอบนี้ เขาไม่รีบร้อนทุกอย่างต้องมีจังหวะเวลาของมัน
เขาไม่ใช่แค่เคยชินกับการเป็นผู้ซักถามผู้อื่นเพราะการสนทนาในวงแบบนี้เขามักจะเป็นฝ่ายถูกผู้อื่นซักให้ตอบคำถามเป็นประจำ
หลังจากที่จอนทำงานอาชีพนี้มาได้ระยะหนึ่งเขาก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองชัดขึ้นเป็นลำดับ.... สมัยเริ่มทำงานเข้าใจว่าการหาข่าวหมือนลูกนกรอแม่นกมาป้อนอาหาร เขามักถูกส่งไปตามงานแถลงข่าวกลับมาก็มีข่าวสารนำเสนอ
พอเติบโตขึ้นมาหน่อยเขาคิดว่างานข่าวคล้ายชาวประมงที่ออกหาปลาที่ไหนมีข่าวก็ตระเวนออกไปถ่ายรูปจดข้อมูลยื่นไมโครโฟนขอสัมภาษณ์...ชาวประมงถ้ามีฝีมือก็ได้ปลาตัวใหญ่กลับมาแต่นักข่าวที่มีฝีมือได้ข่าวใหญ่แทนปลา...แต่ระยะหลังมานี้จอนเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่คล้ายชาวประมงแล้ว....กลับดูเหมือนพ่อค้ามากขึ้นทุกที
ชายหนุ่มผู้ผ่านงานมาร่วมสิบปีเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดว่ากระบวนวิธีการด้านงานข่าวในโลกใบจริงที่แท้ก็คือสนามแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของพ่อค้าข้อมูล
บางคนให้ข่าวสารเขาด้วยหวังผลตอบรับบางประการ
บางคนยอมให้ข้อมูลกับเขาเพื่อแลกกับความไว้ใจสนิทสนม
บางคนเรียกเขามาให้ข้อมูลเพื่อต้องการให้ข่าวแพร่ออกไปเขาได้ประโยชน์แต่แหล่งข่าวได้ประโยชน์มากกว่า
แต่บางทีเขาต้องเอาบางสิ่งบางอย่างแลกเปลี่ยนไปเพื่อจะได้ข้อมูลกลับมา
พ่อค้าข้อมูลรายย่อยอย่างเขาทำการค้าหลายประเภท อย่างเช่นกรณีนี้กลับแตกต่างออกไปจากปกติเพราะนี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบยื่นหมูยื่นแมวหากเหมือนโต๊ะเจรจาต่อรองชิงไหวพริบที่ต่างคนต่างคิดตักตวงสิ่งที่ต้องการจากฝ่ายตรงกันข้าม
ไม่มีใครแบออกมาตรงๆ ว่าต้องการสิ่งใด มีแต่ต้องแอบขุดเอาเองจากโต๊ะเจรจาที่สดชื่นรื่นรมย์เต็มไปด้วยบรรยากาศมิตรภาพ
วันนี้จอนตั้งใจมาตอบคำถามเพราะการทำข่าวไม่ใช่การเอาแต่สัมภาษณ์เขาฝ่ายเดียว
การหาข่าวยังหมายรวมไปถึงการต้องตอบคำถามด้วย หลายครั้งที่เขาแค่ตอบคำถามอย่างเดียวก็สามารถได้ข่าวสารจากฝ่ายตรงกันข้ามได้เช่นกันโดยอ่านจากลักษณะคำถาม
เป้าหมายของคำถาม ยิ่งพูดคุยกันไปคำถามเหล่านั้นจะสะท้อนความต้องการและเป้าหมายของคู่สนทนาออกมาเอง
หลี่เจี่ยเหิงชวนจอนและเวทย์ยกแก้วขึ้นชนแล้วก็เอ่ยปากถาม
“คนที่ขุดทองไปได้คนแรกได้ทองไปเยอะไหมครับ”
จอนยิ้มพรายยกแก้วขึ้นดื่มวางแก้วลงแล้วกางสองมือออกระยะห่างประมาณ 2
ฟุตแล้วบอก “ตุ่มใส่ทองใหญ่ประมาณนี้ได้
ถ้าคุณหลี่เคยเห็นไหใส่ปลาร้าคงนึกออก”
หลี่เจี่ยเหิงทำหน้าสงสัยเวทย์ต้องกระซิบอธิบายข้างหู หลี่เจี่ยเหิงพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจดวงตาเหมือนยิ้มได้จ้องมองมาที่หนุ่มนักข่าวไทย
จอนอธิบายต่อ “รถแบคโฮขุดตุ่มทองขึ้นมาโดยคนขับรถเองก็ไม่รู้เลยทำไหแตกทองและสิ่งของที่อยู่ข้างในก็เลยกระจัดกระจายเรี่ยราดอยู่ในที่ดินแปลงนั้น
เจ้าของที่ดินชื่อว่าลุงจำเนียนเห็นเข้าก็ขุดออกมาใส่กระสอบชั่งน้ำหนักได้ 3-4
กิโลกรัมแน่ะ”
ทั้งเวทย์และหลี่เจี่ยเหิงแข่งกันทำตาโตโดยไม่ได้นัดหมาย
“สามกิโลนี่มันเป็นทองกี่บาทล่ะน้องจอน”
เวทย์อดรนทนไม่ได้ชิงถามขึ้นก่อนที่จอนจะเล่าเรื่องอื่นต่อ
“ทองคำ
1 กิโลหนักประมาณ 65.599 บาทครับ ผมจำแม่นก็เพราะอยากรู้เหมือนกัน
ที่จริงผมไม่เก่งเลขแต่พอเกี่ยวกับเงินทองดันจำแม่นขึ้นมาคิดว่าถ้าตัวเองได้ทองมามากนาดนั้นจะรวยขนาดไหน” จอนตอบพร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะ
เวทย์นับนิ้วริมฝีปากขมุบขมิบคำนวณในใจคิดเป็นเงินราวสี่ห้าล้านบาท
จอนเห็นเช่นนั้นรีบสำทับ “แต่นั่นแค่ส่วนเดียวนะพี่เวทย์ เพราะหลังจากนั้นมีคนเก็บได้อีกเยอะทั้งที่เป็นญาติๆ
กันแล้วก็คนมามุงดู”
หลี่เจี่ยเหิงเป็นฝ่ายช่วงชิงการชวนคุยในรูปของคำถามได้อย่างแนบเนียน
จอนก็เล่าไปอย่างออกรสชาติส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เขาเขียนหรือรายงานผ่านสื่อออกไปแล้ว
แต่จอนก็มีวิธีเติมเกร็ดและสีสันลงไป เขาเป็นนักพูดคุยสนทนาที่ดีคนหนึ่ง
หลี่เจี่ยเหิงยกแก้วที่เท่าไหร่ไม่รู้ชูขึ้นชวนดื่มแล้วถาม “มีทองประเภทไหนบ้างที่เขาพบกัน
มีของอย่างอื่นรวมอยู่ด้วยไหมนอกจากทองคำแล้ว”
จอนตอบไปตามจริง “ทองคำก้อนแบบที่หลอมเองเยอะสุด
รองลงมาคือทองคำแผ่น มีทองรูปพรรณเป็นกำไลข้อมือแหวนตุ้มหูเครื่องประดับน้อยที่สุด” หลี่เจี่ยเหิงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ว่าเข้าใจ
แล้วจู่จอนก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ๊ะ ทางสถานทูตก็ทราบแล้วนี่ครับว่ามีทองคำแผ่นอยู่ด้วย เมื่องานผมถามกรมศิลปากรเห็นว่าสถานทูตจีนเสนอตัวจะแปลอักษรจีนบนทองคำแผ่นให้นี่ครับ
ปกติแล้วอักษรแบบนั้นเขามีไว้เพื่ออะไร”
หลี่เจี่ยเหิงที่กำลังเพลินเพลินกับการเป็นฝ่ายรุกป้อนคำถามไม่ทันระวังตัว
เจอคำถามสำคัญที่ตนเองก็สงสัยใคร่รู้เช่นกันยิงสวนกลับมาแบบกะทันหัน...ถึงกับชะงัก
“เอ่อ...เรื่องนี้....เอ่อ.......”
เลขานุการสถานทูตหนุ่มแดนมังกรครุ่นคิดหาคำตอบเผลอยกมือลูบปลายผมบริเวณท้ายทอยตนเองอากัปกิริยานั้นไม่พ้นสายตาของนักข่าวไทยที่อ่านภาษาท่าทางทราบโดยพลันว่าอีกฝ่ายกำลังอึดอัด
จอนรู้ตัวโดยทันทีว่าพลาดออกอาวุธโดยไม่ตั้งใจ เขาไม่อยากให้คู่สนทนาจนแต้มเผชิญท่าทีลำบากใจในลักษณะนี้รีบยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มเพื่อคลายแรงกดดันถอนปลายแหลมคมของหอกคำถามออกจากเป้าหมาย
สายตาเหลือบไปที่สาวเสิร์ฟที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดีรีบชูแก้วส่งสัญญาณให้สาวน้อยมารับแก้วจากมือของเขาไปเติม
หาเรื่องทักทาย “ทำที่นี่นานแล้วเหรอน้อง...ไม่เคยเห็นหน้า”
.....ที่แท้ก็เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของวงสนทนา
หมายเหตุ / ผู้เขียนยุติการโพสต์ไว้แค่ตอนนี้ เพื่อปรับปรุงต้นฉบับ ปัจจุบันเขียนเสร็จแล้ว รอความเหมาะสมเผยแพร่ต่อไป
หมายเหตุ / ผู้เขียนยุติการโพสต์ไว้แค่ตอนนี้ เพื่อปรับปรุงต้นฉบับ ปัจจุบันเขียนเสร็จแล้ว รอความเหมาะสมเผยแพร่ต่อไป
บรรยายภาพ : เงินตราสมัยราชวงศ์หยวน
โปรดติดตามตอนต่อไป วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน นี้
มาถึงตอนที่ 4 พี่โตเขียนจนผมนึกภาพตามได้แบบชัดเจนเลยครับ สุดยอดจริงๆ สู้ๆครับพี่
ตอบลบขอบคุณคร้าบ ตามอ่านให้ตลอดรอดฝั่งนะ ฮาๆ
ลบทั้งอิงประวัติศาสตร์ ทั้งมีมุมคิดอาชีพนักข่าว.. เดี๋ยวก็โดนเอาไปเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาซะนี่
ตอบลบ