วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นวนิยาย ขุมทองเขาชัยสน ตอน 4

ขุมทองเขาชัยสนตอนที่ 4 


โดย กุรุ กุเฮน



ตอน
: นักการทูตพบผู้สื่อข่าว

หลี่เจี่ยเหิง หอบหิ้วสัมภาระสองมือ เดินจากลานจอดรถเข้ายังห้องโถงโรงแรมด้วยความรู้สึกปะปนกันระหว่างเหนื่อยอ่อนกับเหนื่อยหน่าย  เขาแทบลืมไปแล้วว่ามายังที่นี่ด้วยภารกิจใดเพราะตลอดบ่ายวันนี้มีแต่ท่องเที่ยวเล่นแล้วก็ฟังศาสตราจารย์หลิวกับผู้พันฟู่ทะเลาะกัน
            หลังจากลงจากเขาหัวแดงแล้วศาสตราจารย์หลิวกางแผนที่ชี้นิ้วให้ไปที่เกาะยอเพื่อไปดูพิพิธภัณฑ์จากนั้นก็ว่าจ้างเรือยนต์ล่องเที่ยวเล่นในทะเลสาบไปไกลถึงจุดช่องแคบเชื่อมระหว่างทะเลสาบตอนนอกกับตอนในที่เรียกว่าปากรอจนกระทั่งพลบค่ำแทนที่จะรีบกลับขึ้นฝั่งศาสตราจารย์หลิวกลับสั่งหยุดเรือเพื่อจะถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตก ผู้พันฟู่ก็ไปร่วมอยู่ด้วยทุกแห่งแต่ดูเหมือนไม่สนุกนัก
            หลี่เจี่ยเหิงแอบเห็นสองคนนั้นถกเถียงกันเรื่องกำหนดการพรุ่งนี้ ศาสตราจารย์ยืนยันจะนั่งรถทางไกลรอบทะเลสาบตามแผนที่วางไว้ส่วนผู้พันฟู่อยากจะกลับไปที่อำเภอเขาชัยสนบริเวณที่ขุดพบทองคำ หลี่เจี่ยเหิงแอบได้ยินศาสตราจารย์แย้งว่ารอให้ทางปักกิ่งยืนยันข้อมูลและมีความเห็นเพิ่มเติมมานี่เป็นสิ่งที่ผู้พันฟู่อยากให้ดำเนินการเช่นนี้เองฉะนั้นควรจะรอคำตอบจากปักกิ่งเสียก่อน
            นักการทูตหนุ่มน้อยแปลกใจอยู่บ้างกับความสัมพันธ์แปลกประหลาดระหว่างคนทั้งสอง ผู้พันฟู่มักจะตำหนิหรือไม่ก็หักหน้าศาสตราจารย์หลิวอยู่บ่อยครั้ง มองเผินๆ เหมือนจะขัดแย้งกันแต่ศาสตราจารย์หลิวกลับไม่มีท่าทีแยแสนำพา ทำเป็นไม่ได้ยินบ้างไม่สนใจบ้าง ก็แปลก ที่บางทีแกทำเหมือนกลัวหงอบางทีก็แกล้งไม่รับรู้แต่บางทีก็ขึ้นเสียงเถียงไม่ตกฟากชายหนุ่มพยายามคิดว่านี่เป็นบุคลิกที่ขัดแย้งกันเองของคนที่ฉลาดมากๆ ก็อาจเป็นได้...ศาสตราจารย์หลิวว่าแปลกมนุษย์แล้วมองมาทางผู้พันฟู่ก็ประหลาดไม่แพ้กัน เพราะผู้พันแม้ดุดันเสียงแข็งดูก้าวร้าวแต่ที่สุดก็ยอมโอนอ่อนให้กับศาสตราจารย์ทุกคราไป ต่อให้โมโหแค่ไหนสักครู่ก็เข้ามาพูดคุยด้วยดีทำหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
            จากการที่คลุกคลีทำงานด้วยกันเป็นเวลาหลายวันเขาเริ่มจัดลำดับน้ำหนักของคนทั้งคู่ได้บ้าง ผู้พันฟู่ท่าทีเหมือนจะเด็ดขาดแต่แท้จริงไม่มีอำนาจตัดสินใจสุดท้ายจึงทำได้แค่แย้ง กระตุก หรือกระทั่งขัดขวางในแค่บางรายละเอียดปลีกย่อย..แต่ที่สุดก็ไม่ใช่ผู้กำหนดแผนใหญ่



           เมื่อบ่ายระหว่างที่คนทั้งคู่เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ที่เกาะยอ หลี่เจี่ยเหิงแอบปลีกตัวโทรศัพท์ไปรายงานการทำหน้าที่ของเขาต่อท่านทูตยังแอบบ่นเล็กน้อยเรื่องการที่ไม่มีแผนงานตายตัวและไม่รู้เป้าหมายของภารกิจที่แน่ชัด ท่านทูตได้แต่ปลอบโยนมาว่านี่เป็นเรื่องปกปิด ให้คิดเสียว่าการออกเที่ยวเล่นของศาสตราจารย์และผู้พันคือการทำงานเก็บข้อมูลถ้าเรื่องไม่ใหญ่ไม่สำคัญจริงๆ ปักกิ่งคงไม่ส่งคนเหล่านี้ออกมา

            วันพรุ่งนี้ศาสตราจารย์หลิวกำหนดจะสำรวจรอบๆ ทะเลสาบขับรถออกจากหาดใหญ่ไปทางอำเภอสทิงพระเลียบทะเลสาบขึ้นเหนือจะแวะรายทางดูสภาพภูมิประเทศ จุดที่ถูกกำชับให้จอดถ่ายรูปดูให้ได้อีกจุดหนึ่งคือปากระวะ กับคลองระโนด ซึ่งเป็นทางเชื่อมทะเลหลวงกับทะเลสาบที่สมัยก่อนมีเรือเดินสมุทรเข้าออกได้อีกจุดหนึ่งจากนั้นจะอ้อมทะเลสาบตอนเหนือมาทางพัทลุงเลาะดูทะเลน้อย เรื่อยลงมาที่หาดใหญ่อีกคำรบ ซึ่งนี่ก็กินเวลาไปอีกหนึ่งวัน คงจะเป็นวันที่เหนื่อยอ่อนแม้จะเป็นการนั่งรถเสียเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม



            ชายหนุ่มเดินไปถึงเคาน์เตอร์ต้อนรับบอกเลขห้องพักกับพนักงานสาวสวยผิวคล้ำตาคม เธอก้มหยิบกุญแจแล้วก็เอ่ยถามขึ้น
            ใช่คุณเวทย์จากสถานทูตจีนหรือเปล่าคะ มีของฝากไว้ค่ะ
            หลี่เจี่ยเหิง กำลังจะบอกปฏิเสธไปว่าไม่ใช่แต่นึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ยิ้มให้พนักงานสาวพยักหน้าสวมรอยรับสมอ้างเป็นนายเวทย์ พนักงานสาวก้มลงหยิบถุงใบขนาดย่อมขึ้นมาส่งให้ หลี่เจี่ยเหิงนอนเตียงคู่ห้องเดียวกับเวทย์อยู่แล้วรับถุงมาพร้อมกับขอกุญแจห้องพักขึ้นไป
            เปิดประตูห้องพักแล้วยอมเสียมารยาทแอบเปิดปากถุงดู ข้างในนั้นมีไก่ย่างสีแดงสี่ไม้ท่าทางน่ากินใส่ห่อพลาสติกอีกชั้น มีกระดาษโน้ตใบเล็กเขียนไว้

"ทราบว่าพี่เวทย์อยากกินไก่ย่างอิสลาม พอดีผมผ่านไปแถวสวนสาธารณะหาดใหญ่ เลยซื้อมาฝาก  ถ้าว่างวันไหนออกไปเที่ยวกัน   // ณขจร เทียนธรรมออนไลน์"



            หลี่เจี่ยเหิงอ่านภาษาไทยคล่อง รู้จักสื่อใหญ่ในประเทศนี้แทบทุกสื่อ พอเห็นชื่อเทียนธรรมออนไลน์เขาก็จำได้ทันทีว่านี่เป็นสำนักข่าวใหญ่ที่มีชื่อเสียงแถวหน้าของประเทศนี้ มีทั้งโทรทัศน์ดาวเทียม หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ข่าวที่มีผู้เข้าชมต่อวันสูงที่สุดเป็นลำดับต้น แวบแรกที่ผุดขึ้นในใจก็คือความแปลกใจ  ไม่เคยรู้มาเลยว่านายเวทย์พนักงานขับรถของสถานทูตรู้จักผู้สื่อข่าวสำนักข่าวนี้ด้วย
            ชายหนุ่มเก็บกระดาษโน้ตแผ่นนั้นกลับเข้าที่เดิมวางถุงของฝากไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก จากนั้นเขาก็เข้าห้องน้ำทำธุระออกมานายเวทย์ยืนเคาะประตูเรียกอยู่แล้ว
            มีคนฝากของมาให้แน่ะพี่เวทย์
หลี่เจี่ยเหิงอยู่เมืองไทยนานพอที่ใช้สรรพนามเรียกขานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แม้เวทย์จะมีตำแหน่งเป็นพนักงานขับรถแต่ก็เป็นคนเก่าแก่อยู่มานานกว่า หลี่เจี่ยเหิงเป็นคนหนุ่มที่ชมชอบการคบหาสมาคมไม่แบ่งแยกลำดับชั้นสูงต่ำ เขาเรียกเวทย์ว่าพี่เวทย์ตั้งแต่แรกที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ จนสนิทสนมกันออกมาต่างจังหวัดรอบนี้ก็ไม่ตะขิดตะขวงจะนอนพักในห้องเดียวกัน ซ้ำยังดีกว่าตรงที่สามารถปรึกษาหารือวางแผนงานต่างๆ ได้สะดวก



            เวทย์ขมวดคิ้วแปลกใจ แต่เมื่อเปิดถุงดูพบว่าเป็นไก่ย่างอิสลามพร้อมกับอ่านกระดาษน้อยที่แนบมาก็ยิ้มออก...เมื่อวานตอนค่ำนักข่าวชื่อจอนคนนั้นโทรศัพท์หาเขาเมื่อคืนถามว่าพักที่โรงแรมอะไรก็บอกไปตามตรงไม่นึกว่าจะใจดีเอาของถูกใจมาฝาก  รีบเอ่ยปากชักชวนให้หลี่เจี่ยเหิงมาร่วม ชิม ไก่ย่างแบบปักษ์ใต้ที่รสชาติไม่เหมือนกับไก่ย่างทางภาคอื่น


            ชายผู้หิวโหยสองคนหนึ่งจีน-หนึ่งไทยเลื่อนเก้าอี้พร้อมกับโต๊ะรับแขกใบเล็กมาที่หน้าต่างแล้วก็นั่งฉีกไก่ย่างสีแดงที่มีส่วนผสมเครื่องปรุงฉ่ำฉาบอยู่ที่ผิวด้านนอก หลี่เจี่ยเหิงกินไปพลางยกนิ้วชมเชยไปพลางบอกว่าไม่เคยกินไก่ย่างแบบนี้มาก่อนเลย เวทย์ต้องอธิบายความเป็นมาของอาหารพื้นเมืองชนิดนี้เท่าที่ทราบให้ฟัง
            เลขานุการหนุ่มรอจังหวะอันเหมาะสม เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพลิดเพลินกับการสนทนาผ่อนคลายดีแล้วจึงค่อยแหย่คำถามแรกที่อยากรู้ออกไป
            ไม่ยักรู้ว่าพี่เวทย์มีเพื่อนฝูงอยู่ที่หาดใหญ่
            โอ้ย..ไม่เชิงเพื่อนหรอกครับคุณหลี่เพิ่งรู้จักกันนี่เองบังเอิญคุยถูกคอ... คนที่ฝากไก่ย่างให้น่ะชื่อว่าจอน ทำงานเป็นนักข่าว เจอกันเมื่อวานตอนที่ไปอำเภอเขาชัยสนระหว่างที่คุณหลี่ขึ้นไปคุยธุระบนอำเภอนั่นล่ะครับ เขาเข้ามาทักก่อนผมก็เลยถือโอกาสถามข้อมูลเกี่ยวกับการขุดพบทองคำได้ตั้งหลายเรื่อง นายจอนคนนี้กว้างขวางนะน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลในพื้นที่ได้ อันที่จริงผมกะว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณหลี่ฟังอยู่แล้ว บังเอิญคุณหลี่ถามขึ้นก่อน เวทย์พูดพลางฉีกไก่ย่างจากไม้ไปพลางไม่มีท่าทีเอะใจหรือสงสัยว่าตนถูกล้วงถาม


            เขาเข้ามาหาพี่เวทย์ก่อนหรือ คราวนี้หลี่เจี่ยเฉิงตามตรงๆ
            สิ้นคำถามนี้นายเวทย์เริ่มรู้ตัวว่าถึงรอบที่ต้องตอบคำถามอย่างระมัดระวังแต่ก็ยังส่งไก่เข้าปากเคี้ยว หน้าก็พยักรับฟังไปสมองคิดหาคำตอบสวยๆ
            อ๋อ ผมไปจอดรถข้างๆ ที่เขานั่งอยู่พอดีครับเลยได้คุยกัน ผมบอกแค่ว่ามาจากสถานทูตจีนแต่ไม่พูดเรื่องไปดูทองคำอะไรเลย คราวนี้นายเวทย์จำต้องโกหกเพราะไม่แน่ใจว่าเจ้านายทั้งหลายในสถานทูตต้องการเปิดเผยหรือ
ปกปิดภารกิจระดับใดแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ตำแหน่งพนักงานขับรถอย่างเขาไม่ควรมีปากไว้พูดกับคนนอกอยู่แล้ว
            นักข่าวจอนคนนี้เขารู้อะไรมาบ้าง...เรื่องทองคำน่ะพี่เวทย์ หลี่เจี่ยเหิงเปลี่ยนประเด็น


            เวทย์รู้สึกเหมือนขับรถผ่านโค้งอันตรายเข้าสู่ทางตรงแล้วคิดในใจคุณหลี่ไม่ได้ตำหนิอะไรที่เขาคบหากับนักข่าว จึงตอบไปอย่างสบายใจว่า
            เขาไปสัมภาษณ์ชาวบ้านที่ขุดทอง มีคนขายทองได้เป็นแสน เอ่อ...สามแสนบาทก็มี แล้วก็มีทองแผ่นที่มีอักษรจีนประทับอยู่ด้วยนะเหมือนว่าเข้าไปทำข่าวที่พัทลุงตั้งแต่วันแรกที่มีข่าวเจอทอง


          หลี่เจี่ยเฉิงหูผึ่งตรงที่พบทองคำแผ่นที่มีอักษรจีน คิดในใจนักข่าวคนนี้น่าจะเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญได้ ยังไม่ทันจะพูดอะไรนายเวทย์เอ่ยปากขออนุญาต


            คืนนี้ถ้าผมติดต่อเขาได้ผมจะขอตัวออกไปหากาแฟกินกับเพื่อนใหม่ได้ไหมครับ เพราะได้ยินว่าศาสตราจารย์หลิวกับผู้พันคงไม่ออกไปไหนแล้วคุณหลี่จะไปด้วยกันไหม
            ปากเร็วเท่าความคิดหลี่เจี่ยเฉิงรีบบอก  ผมไปด้วยสิพี่ วันนี้เครียดกับต้องเป็นล่ามให้กับแขกพิเศษของเราเหลือเกิน อยากจิบเบียร์ดูแสงไฟในเมืองสักหลายแก้ว แต่ขอให้กลับก่อนเที่ยงคืนก็แล้วกัน

            เมื่อสัญญาณไฟเขียวเปิดโร่สารถีประจำสถานทูตไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดทันที

เสียงริงโทนเพลงสะพานไม้หมากของวงสะพานดังจากโทรศัพท์มือถือที่เสียบสายชาร์ตแบตเตอรี่ค้างไว้อยู่ที่มุมห้องสำนักงาน จอน-ณขจร จันทรา เหยี่ยวข่าวแห่งเทียนธรรมออนไลน์ที่กำลังง่วนพิมพ์งานหน้าจอคอมพิวเตอร์รีบกดปุ่มเซฟงานที่พิมพ์ค้างไว้แล้วลุกขึ้นไปรับสาย
          ก้มดูหน้าจอปรากฏชื่อเวทย์จากสถานทูตจีนมิตรใหม่ที่เขากำลังผูกไมตรีนั่นเอง จอนฝึกตนเองให้เก็บรายชื่อและเบอร์ติดต่อคนที่รู้จักเอาไว้แม้คนผู้นั้นเพิ่งจะรู้จักกัน อาชีพของเขาเป็นอาชีพที่ต้องติดต่อประสานงานกับผู้คนหลากหลาย วันนี้เรื่องเศรษฐกิจต้องคุยกับพ่อค้าอีกวันอาชญากรรมต้องหาตำรวจมาคุย การจดจำชื่อและรักษาสายสัมพันธ์คนรู้จักเป็นส่วนหนึ่งของงานอาชีพที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการหาข่าวสาร
            หวัดดีพี่เวทย์ ฮาๆ นึกแล้วต้องโทรมา ได้กินไก่ย่างแล้วใช่ไหม ผมบังเอิญผ่านไปพอดีโรงแรมที่พี่พักก็ทางผ่านเลยแวะเอาไปฝากให้จอนเริ่มบทสนทนาแบบเป็นกันเองตามแบบฉบับของเขา
            เสียงเวทย์ตอบขอบคุณของฝากดังกลับมาในสาย ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบและเอ่ยถามว่าหากเขาต้องการหาที่นั่งสบายๆ จิบเครื่องดื่มชมทิวทัศน์ควรจะไปที่ใด จอนแนะนำสถานที่ไปให้กำลังจะแหย่ถามต่อว่าไปกับใครเสียงปลายทางก็เอ่ยชักชวนขึ้นก่อน
            น้องจอนว่างหรือเปล่าคืนนี้ มานั่งจิบอะไรเย็นๆ คุยกันหน่อยไหม คุณหลี่เลขานุการสถานทูตอยากคุยด้วย
    

              สำหรับจอนแล้วการพบปะกับบุคคลในสถานกงสุลหรือสถานทูตต่างชาติไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรเพราะสงขลา-หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของภาคใต้มีสถานกงสุลสำคัญจากหลายประเทศตั้งอยู่ที่นั่นเขาคุ้นเคยดีกับการได้รับเชิญไปจิบน้ำชาพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งมักจะเป็นฝ่ายตัวเขาถูกต่างชาติซักถามเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่แปลกใจที่เจ้าหน้าที่ทูตจีนอยากพบเขาที่จริงเขาตีสนิทกับพนักงานขับรถของสถานทูตก็เพื่ออยากจะมีช่องทางต่อสายสัมพันธ์ไว้บ้างยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ของสถานทูตเปิดโอกาสให้ยิ่ง
เข้าทาง ของเหยี่ยวข่าวหนุ่มรีบตกลงรับนัดหมาย
          จอนกลับมานั่งประจำโต๊ะทำงานรีบพิมพ์ชิ้นงานที่ค้างไว้จนเสร็จดูนาฬิกาเกือบสองทุ่ม เพื่อนๆ ที่เหลืออยู่ในสำนักงานสองสามคนเตรียมตัวจะกลับเช่นกัน ภารกิจการงานของเขาไม่เป็นเวลา บางวันกลับเร็วบางวันมีข่าวเร่งด่วนแม้ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ต้องอยู่ทำให้เสร็จ


              เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง มีเวลาเหลือพอจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ให้สดชื่น ที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานและจุดที่นัดหมายก็เป็นทางตรงไม่ต้องเข้าเมืองขับทำเวลาจริงๆ แค่สิบห้านาทีก็ถึง

 ใกล้สามทุ่มคืนนั้น หลี่เจี่ยเฉิงกับนายเวทย์ปรากฏกายขึ้นที่ร้านอาหารบนเนินสูงย่านถนนกาญจนวนิชอันมีแสงไฟจากตัวเมืองระยิบระยับกว้างใหญ่สุดตาเป็นฉากประดับ ยังไม่ทันที่สองหนุ่มน้อยใหญ่จะก้าวเข้าประตูร้านเสียงทักทายก็ดังขึ้นก่อน
          “อ้าวพี่เวทย์มาถึงเร็วจัง จอนยกมือโบกให้พร้อมทักทาย ส่งยิ้มให้กับเวทย์และผงกศีรษะให้กับหนุ่มจีนหน้าขาวที่เดินมาคู่กัน
            เวทย์กรากเข้ามาจับมือเพื่อนใหม่ที่ได้ต่อเชื่อมสัมพันธ์ปากทักทาย จอนทักทายตอบพร้อมกับลอบสังเกตอากัปกิริยาของหนุ่มจีนหน้าขาวที่ยืนตัวตรงอยู่ด้านข้าง หนุ่มหน้าขาวคนนี้อายุราว 25-30 ปี แต่บุคลิกท่าทางดูผู้ใหญ่เกินตัวยืนนิ่งจ้องมาที่ตัวของเขาฉาบรอยยิ้มบนใบหน้ารอจังหวะทักทายหนุ่มชาวไทย จนจอนต้องหันไปทักทายก่อน
     

             
สวัสดีครับ คงเป็นคุณหลี่...ไม่ทราบพูดไทยได้หรือเปล่า พร้อมกับยื่นมือออกไป


            หลี่เจี่ยเฉิง ยกมือขวายื่นมาจับ สวัสดีครับ พูดได้นิดหน่อยครับ สำเนียงแปร่งไปบ้างแต่ก็ถือว่าดีทีเดียวสำหรับชาวจีน
          การสนทนาหลังแก้วเบียร์บนโต๊ะริมระเบียงของร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงโดยมีแสงไฟของตัวเมืองหาดใหญ่ดารดาษวิบวับดุจทะเลดาวสุดหูสุดตาเป็นฉากเป็นบรรยากาศช่วยให้พักผ่อนหย่อนคลายได้ดีเยี่ยม เวทย์ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่พอหอมปากหอมคอซักถามพอทราบเรื่องราวส่วนตัวและความเป็นมาของจอนพอประมาณแล้วก็ค่อยๆ สงบเสียงลงเพราะหลี่เจี่ยเหิงมีเรื่องราวมากมายและน่าสนใจกว่าช่วงชิงเวลาส่วนใหญ่ของการสนทนาไปเป็นของตน

            เวทย์กลับพึงพอใจที่ได้พักผ่อนเอนหลังฟังคนคุยหลังแก้วเครื่องดื่มในบรรยากาศผ่อนคลาย อาชีพของเขามีเวลาพักที่เป็นตัวของตัวเองไม่มากนัก ตอนนี้เขากำลังมีความสุขกับบรรยากาศพักผ่อนไม่อยากเก็บเกี่ยวการสนทนาอื่นใดให้รกอารมณ์
            หลี่เจี่ยเหิงสมกับเป็นคนของกระทรวงการต่างประเทศแม้มีประสบการณ์ไม่มากแต่ก็ไม่ใช่ไก่อ่อนไร้ประสบการณ์ เขาชักชวนอีกฝ่ายพูดคุยสารพัดเรื่องราวพร้อมกับหาช่องจะวกเข้าสู่ประเด็นที่ต้องการได้ทุกเมื่อ นักการทูตต้องคุยเป็น คุยสนุกแต่ก็ไม่ลืมเป้าหมายที่ต้องการจากการสนทนา

            สิ่งที่หลี่เจี่ยเฉิงต้องการก็คือ ข้อมูล การขุดพบทองคำที่พัทลุงจากปากของนักข่าวภาคสนามที่รู้จักผู้คนเกี่ยวข้องมากมาย อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับทองคำพัทลุงล้วนเป็นเรื่องที่เขาต้องรับรู้ไว้ประเด็นที่หลี่เขาอยากรู้ที่สุดก็คือทองคำแผ่นที่มีอักษรจีนประทับที่น่าจะเป็นกุญแจไขปริศนาต่างๆ ขนาดที่ศาสตราจารย์หลิวกับผู้พันฟู่ต้องเดินทางด่วนจากปักกิ่งมายังที่นี่ จะเป็นการดีหากนักข่าวไทยคนนั้นสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้


          สำหรับหลี่เจี่ยเหิงนี่คือภารกิจหาข้อมูลที่ใช้การสนทนาสังสรรค์ดื่มกินมาบังหน้า
แต่จอนคิดไม่เหมือนกับหลี่เจี่ยเหิง...เขาคิดว่าการสนทนาสังสรรค์กับภารกิจหน้าที่หาข้อมูลเป็นเรื่องเดียวกัน การหาข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับการอาบน้ำกินข้าว ก่อนจะมาถึงที่นี่จอนกำหนดเป้าหมายในใจอยู่แล้วว่าควรจะได้สิ่งใดเป็นผลพลอยได้จากวงดื่มกินสนทนารอบนี้ เขาไม่รีบร้อนทุกอย่างต้องมีจังหวะเวลาของมัน เขาไม่ใช่แค่เคยชินกับการเป็นผู้ซักถามผู้อื่นเพราะการสนทนาในวงแบบนี้เขามักจะเป็นฝ่ายถูกผู้อื่นซักให้ตอบคำถามเป็นประจำ

 
หลังจากที่จอนทำงานอาชีพนี้มาได้ระยะหนึ่งเขาก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองชัดขึ้นเป็นลำดับ.... สมัยเริ่มทำงานเข้าใจว่าการหาข่าวหมือนลูกนกรอแม่นกมาป้อนอาหาร เขามักถูกส่งไปตามงานแถลงข่าวกลับมาก็มีข่าวสารนำเสนอ พอเติบโตขึ้นมาหน่อยเขาคิดว่างานข่าวคล้ายชาวประมงที่ออกหาปลาที่ไหนมีข่าวก็ตระเวนออกไปถ่ายรูปจดข้อมูลยื่นไมโครโฟนขอสัมภาษณ์...ชาวประมงถ้ามีฝีมือก็ได้ปลาตัวใหญ่กลับมาแต่นักข่าวที่มีฝีมือได้ข่าวใหญ่แทนปลา...แต่ระยะหลังมานี้จอนเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่คล้ายชาวประมงแล้ว....กลับดูเหมือนพ่อค้ามากขึ้นทุกที
ชายหนุ่มผู้ผ่านงานมาร่วมสิบปีเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดว่ากระบวนวิธีการด้านงานข่าวในโลกใบจริงที่แท้ก็คือสนามแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของพ่อค้าข้อมูล บางคนให้ข่าวสารเขาด้วยหวังผลตอบรับบางประการ บางคนยอมให้ข้อมูลกับเขาเพื่อแลกกับความไว้ใจสนิทสนม บางคนเรียกเขามาให้ข้อมูลเพื่อต้องการให้ข่าวแพร่ออกไปเขาได้ประโยชน์แต่แหล่งข่าวได้ประโยชน์มากกว่า แต่บางทีเขาต้องเอาบางสิ่งบางอย่างแลกเปลี่ยนไปเพื่อจะได้ข้อมูลกลับมา
พ่อค้าข้อมูลรายย่อยอย่างเขาทำการค้าหลายประเภท อย่างเช่นกรณีนี้กลับแตกต่างออกไปจากปกติเพราะนี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบยื่นหมูยื่นแมวหากเหมือนโต๊ะเจรจาต่อรองชิงไหวพริบที่ต่างคนต่างคิดตักตวงสิ่งที่ต้องการจากฝ่ายตรงกันข้าม ไม่มีใครแบออกมาตรงๆ ว่าต้องการสิ่งใด มีแต่ต้องแอบขุดเอาเองจากโต๊ะเจรจาที่สดชื่นรื่นรมย์เต็มไปด้วยบรรยากาศมิตรภาพ
วันนี้จอนตั้งใจมาตอบคำถามเพราะการทำข่าวไม่ใช่การเอาแต่สัมภาษณ์เขาฝ่ายเดียว การหาข่าวยังหมายรวมไปถึงการต้องตอบคำถามด้วย หลายครั้งที่เขาแค่ตอบคำถามอย่างเดียวก็สามารถได้ข่าวสารจากฝ่ายตรงกันข้ามได้เช่นกันโดยอ่านจากลักษณะคำถาม เป้าหมายของคำถาม ยิ่งพูดคุยกันไปคำถามเหล่านั้นจะสะท้อนความต้องการและเป้าหมายของคู่สนทนาออกมาเอง


 หลี่เจี่ยเหิงชวนจอนและเวทย์ยกแก้วขึ้นชนแล้วก็เอ่ยปากถาม คนที่ขุดทองไปได้คนแรกได้ทองไปเยอะไหมครับ


จอนยิ้มพรายยกแก้วขึ้นดื่มวางแก้วลงแล้วกางสองมือออกระยะห่างประมาณ 2 ฟุตแล้วบอก ตุ่มใส่ทองใหญ่ประมาณนี้ได้ ถ้าคุณหลี่เคยเห็นไหใส่ปลาร้าคงนึกออก
หลี่เจี่ยเหิงทำหน้าสงสัยเวทย์ต้องกระซิบอธิบายข้างหู หลี่เจี่ยเหิงพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจดวงตาเหมือนยิ้มได้จ้องมองมาที่หนุ่มนักข่าวไทย
จอนอธิบายต่อ รถแบคโฮขุดตุ่มทองขึ้นมาโดยคนขับรถเองก็ไม่รู้เลยทำไหแตกทองและสิ่งของที่อยู่ข้างในก็เลยกระจัดกระจายเรี่ยราดอยู่ในที่ดินแปลงนั้น เจ้าของที่ดินชื่อว่าลุงจำเนียนเห็นเข้าก็ขุดออกมาใส่กระสอบชั่งน้ำหนักได้ 3-4 กิโลกรัมแน่ะ


ทั้งเวทย์และหลี่เจี่ยเหิงแข่งกันทำตาโตโดยไม่ได้นัดหมาย
สามกิโลนี่มันเป็นทองกี่บาทล่ะน้องจอน เวทย์อดรนทนไม่ได้ชิงถามขึ้นก่อนที่จอนจะเล่าเรื่องอื่นต่อ
ทองคำ 1 กิโลหนักประมาณ 65.599 บาทครับ ผมจำแม่นก็เพราะอยากรู้เหมือนกัน ที่จริงผมไม่เก่งเลขแต่พอเกี่ยวกับเงินทองดันจำแม่นขึ้นมาคิดว่าถ้าตัวเองได้ทองมามากนาดนั้นจะรวยขนาดไหน จอนตอบพร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะ


เวทย์นับนิ้วริมฝีปากขมุบขมิบคำนวณในใจคิดเป็นเงินราวสี่ห้าล้านบาท จอนเห็นเช่นนั้นรีบสำทับ แต่นั่นแค่ส่วนเดียวนะพี่เวทย์ เพราะหลังจากนั้นมีคนเก็บได้อีกเยอะทั้งที่เป็นญาติๆ กันแล้วก็คนมามุงดู
หลี่เจี่ยเหิงเป็นฝ่ายช่วงชิงการชวนคุยในรูปของคำถามได้อย่างแนบเนียน จอนก็เล่าไปอย่างออกรสชาติส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เขาเขียนหรือรายงานผ่านสื่อออกไปแล้ว แต่จอนก็มีวิธีเติมเกร็ดและสีสันลงไป เขาเป็นนักพูดคุยสนทนาที่ดีคนหนึ่ง


หลี่เจี่ยเหิงยกแก้วที่เท่าไหร่ไม่รู้ชูขึ้นชวนดื่มแล้วถาม มีทองประเภทไหนบ้างที่เขาพบกัน มีของอย่างอื่นรวมอยู่ด้วยไหมนอกจากทองคำแล้ว
จอนตอบไปตามจริง ทองคำก้อนแบบที่หลอมเองเยอะสุด รองลงมาคือทองคำแผ่น มีทองรูปพรรณเป็นกำไลข้อมือแหวนตุ้มหูเครื่องประดับน้อยที่สุด หลี่เจี่ยเหิงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ว่าเข้าใจ
แล้วจู่จอนก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เอ๊ะ ทางสถานทูตก็ทราบแล้วนี่ครับว่ามีทองคำแผ่นอยู่ด้วย เมื่องานผมถามกรมศิลปากรเห็นว่าสถานทูตจีนเสนอตัวจะแปลอักษรจีนบนทองคำแผ่นให้นี่ครับ ปกติแล้วอักษรแบบนั้นเขามีไว้เพื่ออะไร
หลี่เจี่ยเหิงที่กำลังเพลินเพลินกับการเป็นฝ่ายรุกป้อนคำถามไม่ทันระวังตัว เจอคำถามสำคัญที่ตนเองก็สงสัยใคร่รู้เช่นกันยิงสวนกลับมาแบบกะทันหัน...ถึงกับชะงัก

เอ่อ...เรื่องนี้....เอ่อ.......

เลขานุการสถานทูตหนุ่มแดนมังกรครุ่นคิดหาคำตอบเผลอยกมือลูบปลายผมบริเวณท้ายทอยตนเองอากัปกิริยานั้นไม่พ้นสายตาของนักข่าวไทยที่อ่านภาษาท่าทางทราบโดยพลันว่าอีกฝ่ายกำลังอึดอัด

จอนรู้ตัวโดยทันทีว่าพลาดออกอาวุธโดยไม่ตั้งใจ เขาไม่อยากให้คู่สนทนาจนแต้มเผชิญท่าทีลำบากใจในลักษณะนี้รีบยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มเพื่อคลายแรงกดดันถอนปลายแหลมคมของหอกคำถามออกจากเป้าหมาย  สายตาเหลือบไปที่สาวเสิร์ฟที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดีรีบชูแก้วส่งสัญญาณให้สาวน้อยมารับแก้วจากมือของเขาไปเติม หาเรื่องทักทาย ทำที่นี่นานแล้วเหรอน้อง...ไม่เคยเห็นหน้า

.....ที่แท้ก็เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของวงสนทนา

หมายเหตุ / ผู้เขียนยุติการโพสต์ไว้แค่ตอนนี้ เพื่อปรับปรุงต้นฉบับ ปัจจุบันเขียนเสร็จแล้ว รอความเหมาะสมเผยแพร่ต่อไป

บรรยายภาพ : เงินตราสมัยราชวงศ์หยวน 


โปรดติดตามตอนต่อไป วันอาทิตย์ที่  15 มิถุนายน นี้ 

3 ความคิดเห็น:

  1. มาถึงตอนที่ 4 พี่โตเขียนจนผมนึกภาพตามได้แบบชัดเจนเลยครับ สุดยอดจริงๆ สู้ๆครับพี่

    ตอบลบ
  2. ทั้งอิงประวัติศาสตร์ ทั้งมีมุมคิดอาชีพนักข่าว.. เดี๋ยวก็โดนเอาไปเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาซะนี่

    ตอบลบ