วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

สรุปการระดมความคิดเห็นต่อกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างกฎหมายสะอาด

 


รายงานการประชุมหารือ
เพื่อเสนอความคิดเห็นต่อกรรมาธิการวิสามัญ

พิจารณาร่างกฎหมายสะอาด

วันที่ 29 มกราคม 2567  สภาลมหายใจภาคเหนือ จัดประชุมออนไลน์ ระดมข้อเสนอต่อกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณา พรบ. อากาศสะอาด โดยมีเครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ นักวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และตัวแทนพรรคการเมือง เข้าร่วม

 

 


อาจารย์ไพสิฐ พาณิชย์กุล ผอ.ศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกัน และแก้ไขมลพิษอากาศ (ศวอ.) กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งหนึ่งที่จะต้องบันทึกไว้ เสียงเอกฉันท์แต่ละพรรคไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคฝ่ายค้าน เสนอกฎหมายเรื่องของอากาศสะอาด เป็นส่วนที่ฝากขอบคุณทุกพรรคการเมือง ที่สำคัญคือ ณ ปัจจุบัน กระบวนการในการร่างกฎหมายอยู่ในมือของพรรคการเมืองทุกพรรค ซึ่งเท่าที่ทราบมีการตั้งกรรมาธิการอยู่ในชั้นของญัติ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้พูดคุยถึงประเด็นที่ยังขาดตกในการจัดทำร่างกฎหมาย ซึ่งการจัดทำร่างกฎหมายเป็นงานที่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งประเด็นวันนี้อาจมีส่วนเติมเต็มเข้าไป และอีกหนึ่งส่วนที่อยากจะชวนคิดขั้นแรกในการผลักดันกระบวนการกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเป็นกระบวนการในรัฐสภาที่แต่ละพรรคมีจุดยืนของการผลักดันร่างกฎหมาย “จะทำอย่างไรที่จะช่วยกันประสานเพื่อสร้างกฎหมายที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา” โดยไม่ควรใช้จังหวะเวลานี้ในการช่วงชิงเกมส์ทางการเมืองมากเกินไป เนื่องจากว่ามีข้อจำกัดด้านกลไกในรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ สมาชิกวุฒิสภาจะหมดวาระ เพราะฉะนั้นหากกระบวนการในการพัฒนาผู้แทนราษฎรอยู่ในวาระแรกผ่านไปได้ด้วยดีและรวดเร็ว สามารถทำให้ทันอยู่ในช่วงวุฒิสมาชิกของนี้ได้ก็จะทำให้กฎหมายไม่ต้องรอนาน

 

 

 

 

 

⦿ ร่างกฎหมาย 7 ร่าง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่ม 1 เป็นกลุ่มที่วางระบบในเรื่องของการบริหารการจัดการ ซึ่งมี 3-4 ฉบับ มีเนื้อหาหลักคล้าย ๆ กัน แต่แตกต่างในรายละเอียด

กลุ่มที่ 2 ว่าด้วยเรื่องการสถาปนากฎหมายหลัก กฎหมายรอง สิทธิในอากาศสะอาด สิทธิประชาชน สิทธิมนุษยชน อยู่ในร่างของกลุ่มเครือข่ายอากาศสะอาด หรือ CAN ที่ใช้การลงชื่อของประชาชน

กลุ่มที่ 3 เป็นกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับแหล่งควบคุมมลพิษโดยตรง และเน้นการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนด้วย

 

⦿ ความคิดเห็นเพื่อการพัฒนาร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด

ความเห็นเพื่อการพัฒนาให้ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ให้มีความสมบูรณ์เพื่อใช้ในการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์มลพิษทางอากาศของประเทศไทย มีดังต่อไปนี้ 

บททั่วไป นโยบายพื้นฐานแห่งรัฐว่าด้วยการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ควรเพิ่มเติมหลักการ/กระบวนการ

 1. สิทธิของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ควรจะต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง ป้องกัน  รวมถึง สิทธิในการรักษาพยาบาลจากโรคอันจะเกิดจากมลพิษทางอากาศ และในประการสำคัญ รวมถึงสิทธิในการที่จะอยู่ในสถาพแวดล้อมที่มีอากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย 

 2. ควรกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐในการจัดทำระบบฐานข้อมูลมลพิษทางอากาศที่ทันสมัย และมีหน้าที่ต้องเผยแพร่ เปิดเผย ข้อมูลแหล่งมลพิษ และคุณภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง และเป็นการล่วงหน้า

 3. มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะต้องส่งเสริมการศึกษาวิจัยและการพัฒนาองค์ความรู้ในการบริหารจัดการ เพื่อให้มีอากาศที่มีคุณภาพที่ดี

 4. กำหนดมาตรการในการสนับสนุนการฟ้องร้องดำเนินคดีให้กับประชาชนเพื่อป้องกัน  แก้ไข เยียวยาผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ 

 5. ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบริหารจัดการมลพิษทางอากาศ

6. การคุ้มครองชดเชยเยียวยารวมถึงการจัดสวัสดิการให้กับบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต หรือได้รับความเสียหายจากการเข้าร่วมในการดำเนินการแก้ไขมลพิษทางอากาศ

 7. การติดตามตรวจสอบ การประเมินผล และการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในระดับ พระราชบัญญัติ กฎหมายลำดับรองต่าง ๆ รวมถึงระเบียบแนวปฏิบัติที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการให้เกิดอากาศสะอาด

หมวด 2 คณะกรรมการเพื่อการจัดการอากาศสะอาด

1. ควรจัดสัดส่วนกรรมการชุดต่าง ๆ ให้เกิดความเหมาะสม สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่รูปกรรมการได้อย่างคล่องตัว

2. กรรมการวิชาการเฉพาะด้านที่มีความเป็นอิสระทางวิชาการ เพื่อทำให้เกิดระบบการบริหารจัดการคุณภาพอากาศที่สะอาด 

หมวด 3 ระบบการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดของประเทศ

 1.ควรกำหนดให้มีระบบการบริหารจัดการที่ตั้งอยู่บนฐานของมลพิษทางอากาศ โดยการจัดระบบการบริหารจัดการแบ่งตามพื้นที่ / แบ่งตามประเภทหรือแหล่งกำเนิดมลพิษ / แบ่งตามระดับความรุนแรงและความร้ายแรงแทนการใช้ระบบเขตปกครองแต่เพียงอย่างเดียว

 2. ต้องให้ความสำคัญกับการจัดทำระบบฐานข้อมูลมลพิษทางอากาศของประเทศ โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้กระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอในการพัฒนาระบบฐานข้อมูล การส่งเสริมให้นำข้อมูลไปใช้ในการลดมลพิษทางอากาศ

หมวด 4 การลดและควบคุมมลพิษในอากาศจากแหล่งกำเนิด

 การกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทางด้านบุคลากร ระบบการบริหารจัดการ ระบบงบประมาณสนับสนุน เครื่องมือที่ทันสมัย และกลไกในการติดตามตรวจสอบ ประเมินผล ปรับปรุงพัฒนาระบบการบริหารจัดการ เพื่อให้มีการทำแผนและนำแผนการป้องกันแก้ไขมลพิษทางอากาศไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หมวด 5 เขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษในอากาศ

 ควรที่จะเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ โดยใช้ข้อมูลเพื่อกำหนดให้พื้นที่จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบ หรือเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ เป็นเขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษในอากาศ

หมวด 6 เครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่ออากาศสะอาด

 ระบุกิจกรรมหรือประเภทของกิจกรรมในเขตพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตที่เป็นต้นเหตุของมลพิษทางอากาศให้ชัดเจน โดยการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ และการสนับสนุนหรืออุดหนุนโดยมาตรการทางการเงินหรือมาตรการทางการคลัง

หมวด 7 เจ้าพนักงานอากาศสะอาด

 ควรกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานอากาศสะอาดในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าระวังหรือแจ้งแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ 

หมวด 8 ความรับผิดทางแพ่ง

 มาตรการการคุ้มครองชั่วคราวก่อนฟ้อง 

หมวด 9 บทกำหนดโทษ

 ควรเพิ่มเติม โดยให้นำเอาวิธีการเพื่อความปลอดภัยมาใช้เสริมมาตรการลงโทษทางอาญา สำหรับผู้ก่อมลพิษทางอากาศบางประเภท

บทเฉพาะกาล

1. การปฏิรูประบบและวิธีการงบประมาณให้เป็นระบบและวิธีการงบประมาณที่สอดคล้องกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของมลพิษทางอากาศ

2. ระยะเวลาในการเตรียมการของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ควรจะมีระยะเวลาที่รวดเร็ว

 

 

 

 


นายบัณรส บัวคลี่ สภาลมหายใจภาคเหนือ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมามีการผลักดันกฎหมายอากาศสะอาดมาอย่างยาวนาน จนมาถึงจุดสำคัญที่เรากำลังจะจัดตั้งกรรมาธิการเพื่อออกแบบร่างสุดท้าย โดยการหลอมรวม
7 ร่างเข้าด้วยกัน ในปีนี้จะมีการสะท้อนเสียงจากประชาชนเพื่อช่วยเพิ่มเติมประเด็นไม่ให้ตกหล่น จึงได้นำเสนอจุดอ่อนของกฎหมายเดิม และ 10 ประเด็นสำคัญที่กฎหมายอากาศสะอาดจะต้องมี เพื่อความเป็นไปได้เชิงปฏิบัติภายใต้ระบบการเมืองการปกครองไทย ต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณา ดังนี้

 

⦿ จุดอ่อนของกฎหมายเดิม: หลักคิดใหม่ ต้องนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานสังคมไทย ไม่ใช่เผชิญเหตุภัยพิบัติ

ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนกฎหมาย ในทางกลับกันมีมากเกินไปจนซ้ำซ้อน แต่สำหรับวิกฤตมลพิษอากาศฝุ่นควันกลับแตกต่างออกไป เพราะสาเหตุของมลพิษฝุ่นเกิดจากกิจกรรมมนุษย์ที่หลากหลาย แต่ละเรื่องก็มีกฎหมายของตัวเอง เช่น อ้อยน้ำตาล การปลูกข้าว การผลิตยานยนต์ การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม ป่าสงวน และอุทยานแห่งชาติ กฎหมายสาธารณสุข กฎหมายสิ่งแวดล้อมกำหนดมาตรฐานมลพิษและควบคุมการปล่อย  และมีกฎหมายให้อำนาจพิเศษเพื่อจัดการเหตุวิกฤต เช่น พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พรก.ฉุกเฉิน
มีผู้ว่าฯ Single Command สั่งการหน่วยอื่น ๆ ได้ แต่ที่สุดแล้วผลลัพธ์ยังคงย่ำแย่มาตลอดหลายปี

อาจเพราะว่า กฎหมายที่มีอยู่เดิมของประเทศไทย เน้นไปที่เรื่องเฉพาะบางห้วงเวลา บางสถานการณ์ หรือ จำกัดเฉพาะวงเรื่องของตัวเอง ขณะที่ขนาดวงรอบปริมณฑลของวิกฤตปัญหา มันเกิดจากเหตุหลากหลาย และ เชื่อมโยงถึงกันหมด ไม่ได้แยกส่วน ดังนั้นกฎหมายที่มีอยู่มากมายจึงยังไม่สัมฤทธิ์ผล เช่น เรามีกฎหมายให้อำนาจพิเศษผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม พรบ.ปภ. เผชิญเหตุช่วงวิกฤตที่มีไฟในป่ามาก แต่อำนาจที่ว่ามีผลเฉพาะ 2-3 เดือน การแก้ปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการทั้งปี และยุทธการที่ต้องของบประมาณจากหน่วยงานเดิม ทั้งยังอาจต้องบูรณาการกับหน่วยอื่น ๆ แต่อำนาจบูรณาการที่ว่ามีให้มากะทันหันเฉพาะช่วงเผชิญเหตุ หน่วยอื่นก็ไม่ได้เตรียมคนเตรียมงบประมาณไว้

 

 

มลพิษฝุ่นควันส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ แม้กระทั่งไฟในป่าส่วนใหญ่ก็เกิดจากมนุษย์ กิจกรรมที่ว่ายังให้ประโยชน์ด้วย เช่น การจราจรทำให้มนุษย์เดินทางติดต่อสะดวกขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาซึ่งมลพิษที่ปลดปล่อย การเกษตรก็เช่นกัน การก่อสร้างก็เช่นกัน ฯลฯ ดังนั้น การจะแก้ปัญหาถึงรากเหง้าอย่างยั่งยืน คือ การอำนวยให้การผลิตและกิจกรรมที่ว่ามีมาตรฐานสูงขึ้น ปล่อยมลพิษน้อยที่สุดในระดับที่ไม่เกินมาตรฐานความปลอดภัย รวมถึงระบบการบริหารจัดการใหม่เพื่อไม่ให้ปลดปล่อยมลพิษออกมา แต่กฎหมายที่ประเทศไทยมีอยู่ ยังไม่มีฉบับใดที่มุ่งการยกระดับการผลิตและกิจกรรมสังคมโดยมีเป้าหมายยกมาตรฐานคุณภาพชีวิต ลดการปลดปล่อยมลพิษในอากาศในภาพรวม

ไม่เพียงเท่านั้น ขนาดและลักษณะปัญหามลพิษฝุ่นควันที่มีผลกระทบต่อประชาชนในประเทศ ยังเกิดจากแหล่งนอกประเทศ เป็นฝุ่นควันข้ามพรมแดน หลายประเทศประสบและพยายามหาวิธีการแก้ในหลายลักษณะ แต่สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายโดยตรงเพื่อแก้ปัญหาข้ามแดนที่ว่านี้ แต่สถานการณ์และแนวโน้มโลกจึงจำเป็นต้องทำให้มี เช่นเดียวกับหลายประเทศที่มีกลไกปกป้องคุ้มครองประชาชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

การจะแก้ปัญหาวิกฤตมลพิษฝุ่นควันจำเป็นต้องอาศัยการบริหารจัดการ/อำนวยการเพื่อขับเคลื่อนกลไกระบบราชการ ที่มีลักษณะเป็นแท่งรวมศูนย์แต่ไม่ประสานบูรณาการกัน นี่เป็นปัญหาเฉพาะของสังคมไทยและเป็นอุปสรรคสำคัญของการแก้วิกฤต ดังนั้น ผู้ว่าฯ Single Command จึงยังไม่สามารถแก้ปัญหา การเผาอ้อย เผาในนาข้าว และเผาในป่า ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนมีกฎหมายเฉพาะของตนเอง อำนาจในการจัดการจริง ๆ อยู่ที่หน่วยงานต้นเรื่อง จุดอ่อนข้อนี้ยิ่งฉายให้เห็นชัดเจน ในพื้นที่แหล่งกำเนิดใหญ่ในป่ารอยต่อระหว่างจังหวัด เช่น ป่ารอยต่อเหนือเขื่อนภูมิพล 3 ป่า ที่มีอำนาจหลายฝ่ายคาบเกี่ยวกัน ทั้งอำนาจของป่าอนุรักษ์ อำนาจของป่าสงวน อำนาจของจังหวัดแต่ละจังหวัด ตาก ลำพูน เชียงใหม่ แถมมีพื้นที่ช่องโหว่ด้านอำเภอแม่พริก จังหวัดลำปางอีก สถิติไฟป่าในพื้นที่รอยต่ออำนาจที่ว่าจึงมากที่สุดในประเทศ มีพื้นที่ไหม้ใหญ่เกิน 8 แสนกว่าไร่ เกือบเท่าพื้นที่กรุงเทพมหานคร จุดอ่อนเรื่องระบบบริหารจัดการข้ามอำนาจเป็นประเด็นสำคัญของการยกระดับการผลิตและกิจกรรมแต่ละกิจกรรมที่ต่างก็มีกฎหมายเฉพาะของตนเอง ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องบูรณาการจากชุมชน ท้องถิ่น ที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเนื้อปัญหาโดยตรง และกลไกราชการของไทยยังมีจุดอ่อนในส่วนนี้

สุดท้ายกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมถึง ก็คือ เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์สำหรับใช้ในการแก้และเปลี่ยนวิถีการผลิต/กิจกรรมเดิม ไปสู่กิจกรรมใหม่ เพราะแทบทุกการผลิตและกิจกรรมเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ มีผลตอบแทนเชิงมูลค่า เช่น การจะเปลี่ยนการผลิตการเกษตรชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งที่ยั่งยืนกว่าต้องมีกระบวนการเปลี่ยนผ่าน มีการอุดหนุนจูงใจ ขณะเดียวกันผู้ก่อมลพิษควรจะเป็นผู้รับผิดชอบแบกรับภาระตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluters Pay Principle : PPP) แต่พบว่ากฎหมายเดิมมีเครื่องมือประเภทนี้จำกัด

⦿ ข้อเสนอเชิงหลักการ : สิ่งที่จำเป็นต้องมีในกฎหมายใหม่ 10 องค์ประกอบสำคัญซึ่งจะขาดไม่ได้

1. มีเป้าหมายและกลไกปฏิบัติการยกระดับการผลิตและกิจกรรมก่อมลพิษต่าง ๆ เข้าสู่มาตรฐานใหม่ คือ ต้องมีเจตจำนงของการเปลี่ยนประเทศสู่มาตรฐานใหม่ให้ได้ โดยผ่านข้อบังคับตามกฎหมาย แผนปฏิบัติการ และ ข้อบัญญัติที่เอื้ออำนวยให้การเปลี่ยนนั้นสำเร็จผล

2. มีโครงสร้างเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อความสมดุลในการต่อรองทางสังคม อันว่าการมีส่วนร่วมคงไม่สามารถยกมือโหวตเอาชนะ แต่หมายถึง พื้นที่แสดงความต้องการและเจตจำนงต่อการแก้ปัญหา ประเด็นปัญหาวิกฤตมลพิษฝุ่นควันอากาศพิษ เป็นความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ Conflict of interest ที่มีเดิมพันสูงและกว้างขวางครอบคลุมหลายวงการ อาจจะชักจูงล็อบบี้ฝ่ายการเมืองได้ หรือทำให้ฝ่ายข้าราชการประจำไม่กล้าตัดสินใจ ต้องให้มีกลไกการเปิดมีส่วนร่วมให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล การเคลื่อนไหวและการตัดสินใจระดับต่าง ๆ และข้อมูลความเคลื่อนไหวที่สำคัญต้องเปิดให้สาธารณะรับรู้ (ไม่ถูกปิดโดยระเบียบ) ยกเว้นข้อมูลส่วนบุคคลที่กฎหมายห้าม

*หมายเหตุ ร่างกฎหมายส่วนใหญ่ ให้มีตัวแทนประชาชนเข้าในระดับคณะกรรมการชุดใหญ่ และชุดปฏิบัติการอยู่แล้ว ที่ควรกำหนดเพิ่มคือเงื่อนไขการเลือกเฟ้นประชาชนตัวแทนของผู้ประสบปัญหาหรือแก้ปัญหาไม่ใช่ตัวแทนของกลุ่มผู้ก่อมลพิษวงการใดวงการหนึ่ง เช่น ตัวแทนชาวไร่อ้อย ตัวแทนรถบรรทุก ที่จำเป็นต้องปล่อยมลพิษ กลุ่มที่ว่า ควรให้มีขึ้นเป็นอนุกรรมการต่าง ๆ เพื่อศึกษาลงลึกในการแก้ปัญหาของวงการนั้น ๆ

3. มีความเป็นไปได้จริงของการบริหารจัดการกลไกราชการให้ขยับยกระดับการแก้ ทั้งแก้เหตุระยะยาว และการจัดการระยะเผชิญเหตุ กลไกที่ว่าออกแบบเพื่อขจัดอุปสรรคภายในระบบราชการที่ติดขัดอยู่เดิม คือ ต้องไม่ใช่แค่อำนาจพิเศษเฉพาะชั่วคราว แบบพรก.ฉุกเฉิน / พรบ.ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งไม่เพียงพอ และไม่ใช่แค่เขียนในแผนมาตรการตามวาระแห่งชาติ พ.ศ.2562 แต่เมื่อปฏิบัติการจริงทำไม่ได้ กลไกการประสาน
บูรณาการกับอำนาจเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ซึ่งก็มีกฎหมายเฉพาะของตัวเองรองรับอยู่ เช่น พรบ.อ้อยและน้ำตาล พรบ.ข้าว พรบ.โรงงาน พรบ.อุทยานฯ พรบ.ป่าไม้ การแก้ปัญหาระยะยาวเพื่อยกระดับการผลิตในบางพื้นที่ต้องอาศัยกฎหมายหลายด้านและมีที่ติดขัดเป็นอุปสรรคกันเอง เช่น พื้นที่อำเภอแม่แจ่ม มีการปลูกข้าวโพดมากและมีสถิติจุดความร้อนสูงต่อเนื่องทุกปี การจะแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ห้ามเผา แต่ต้องลงลึกไปถึงเรื่องสิทธิที่ทำกิน สาธารณูปโภค เครื่องมือจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น

 

*หมายเหตุ ร่าง พรบ.อากาศสะอาดฉบับรัฐบาล ให้คณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด และพื้นที่เฉพาะ(ม.24) เป็นการพิเศษขึ้นมา แตกต่างจากร่างอื่น เพื่อให้มีกลไกการแก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่พิเศษที่อาจทับซ้อนเชิงอำนาจ เช่น รอยต่อระหว่างจังหวัด เป็นต้น ในทางปฏิบัติจริงหน่วยราชการอาจจะไม่เคยชินกับพื้นที่พิเศษที่ทับซ้อนเชิงอำนาจลักษณะนี้ หรืออาจมีข้อปัญหาติดขัดจากกฎระเบียบเดิม หรือไม่ ? (เอกสารที่รัฐสภาสรุปวาระแรกไม่มีมาตรานี้ ทราบว่าถูกตัดออก ซึ่งน่าเสียดายที่จะลดอานุภาพจัดการไฟแปลงใหญ่พื้นที่ทับซ้อน รัฐวิสาหกิจ ชายแดน เขตทหาร เขตป่าไม้ทับกับเขตปกครอง ที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคปฏิบัติระดับพื้นที่)

4. มีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และกลไกใช้งานได้จริง ประกอบเป็นมาตรการ ทั้งบวกและลบ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริงในทางปฏิบัติ โดยมีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้เพราะการผลิตหรือกิจกรรมที่ปล่อยมลพิษบางอย่าง ไม่ควรใช้อำนาจบังคับห้ามวิธี/เทคนิคการผลิตภาคเกษตร ต้องใช้เครื่องมือจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ อุดหนุนต้นทุนการผลิตแทน เช่นเดียวกับการปรับพินัยต่อผู้ปล่อยมลพิษ ตามหลัก PPP- กดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

5. มีบทบัญญัติที่กล่าวถึงภาคการเผาที่โล่ง ที่เป็นแหล่งกำเนิดใหญ่สุดของประเทศตามสถิติ และต้องแก้ปัญหานั้นได้จริง กฎหมายที่มีอยู่กำหนดโทษการเผาที่โล่งหลายฉบับ ทั้งการเผาภาคเกษตร เผาในมือง และเผาในป่า แต่ไม่สามารถบังคับใช้จริงได้ เพราะแต่ละแหล่งมีเงื่อนไขบริบทเฉพาะ แค่มีบทบัญญัติการสั่งห้ามเฉย ๆ ไม่ได้ต้องประกอบสร้างขึ้นด้วยแผนปฏิบัติการที่อาจต้องบูรณาการหลายฝ่ายหลายข้อกฎหมาย และมีงบประมาณเฉพาะพื้นที่นั้น ๆ

ทั้งนี้ การกล่าวถึงแหล่งกำเนิดอื่น ๆ ก็จำเป็นต้องเอ่ยถึงให้ครอบคลุมทุกแหล่ง แต่ที่เอ่ยถึงการเผาที่โล่งเป็นการเฉพาะ เนื่องจากต้องมีข้อบัญญัติที่ลงรายละเอียดวิธีการ กล่าวถึงการห้ามลอย ๆ หรือแค่บทกำหนดโทษจะไม่ได้ผล บทบัญญัติเรื่องการแก้ปัญหาแหล่งกำเนิดที่ดี อ่านแล้วต้องสามารถจินตนาการออกว่า จะแก้เผาอ้อยได้อย่างไร แก้เผาข้าวได้อย่างไร แก้มลพิษจราจรได้อย่างไร แก้เผาป่าอนุรักษ์ได้อย่างไร แก้เผาป่าสงวนได้อย่างไร ฯลฯ

 

 

 

6. ต้องให้เกิดมีบทบาทของงานวิชาการเป็นกลไกสนับสนุนการเปลี่ยนสังคม ร่างกฎหมายหลายฉบับไม่ได้เอ่ยถึงบทบาทงานวิชาการ และบางฉบับเอ่ยถึงแต่ไม่ครบองค์ประกอบสำคัญ คืองานวิชาการที่เกี่ยวข้องกับบรรยากาศศาสตร์ Atmospheric Science เช่น ฟิสิกส์บรรยากาศ เคมีบรรยากาศ อุตุนิยมวิทยา ภูมิศาสตร์ นอกเหนือจากศาสตร์อื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงทางอุตุนิยมวิทยาบรรยากาศมีผลอย่างยิ่งต่อมลพิษอากาศและวิกฤตฝุ่น ทั้งด้านความรู้ การป้องกันแก้ไข และการเผชิญเหตุ และยังต้องมีบทบัญญัติให้มีกลไกของกลุ่มงานวิชาการเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาที่ต่อเนื่อง มีเป้าหมาย และนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง โดยกฎหมายต้องบังคับให้หน่วยงานรัฐสนับสนุนจริงจัง เช่น เปิดเผยข้อมูลเพื่อให้เกิดเป็น Big Data เป็นต้น

7. จำเป็นต้องบรรจุเพิ่มแนวคิดใหม่เรื่องการแก้มลพิษข้ามแดน โดยใช้ข้อตกลงทางการค้าเป็นเครื่องมือ และให้มีกลไกปฏิบัติที่สอดคล้องกับข้อตกลงการค้า ซึ่งแทบไม่ปรากฏในร่างกฎหมายที่เสนอมา คือ แนวคิดการห้ามนำเข้าสินค้าเกี่ยวกับการเผาที่โล่งที่กระทบต่อสุขภาพคนในประเทศ โดยอาศัยข้อตกลงทางการค้าโลก สามารถออกมาตรการกีดกันทางการค้าโดยข้ออ้างสุขภาพ/สิ่งแวดล้อมได้ เช่น กรณีที่สหภาพยุโรป ห้ามนำเข้าสินค้าปล่อยคาร์บอนที่มีผลต่อเรือนกระจก หรือ CBAM มีผลต่อการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หรืออาหารสัตว์ของไทยโดยตรง

กลไกที่กฎหมายต้องพิจารณาปรับปรุง คือ อำนาจของคณะกรรมการชุดใหญ่ที่สามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรีออกประกาศห้ามนำเข้าสินค้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม และมีผลผูกพันต่อการนำเข้า โดยไม่ผิดข้อตกลงทางการค้า จากมาตรการทางการค้า เป็นมาตรการทางเศรษฐศาสตร์

ส่วนข้อเสนอการเอาผิดผู้ปล่อยมลพิษข้ามแดน โดยอ้างอิงแนวทางประเทศสิงคโปร์ มีร่างกฎหมายหลายฉบับเสนอมา นอกเหนือจากร่างรัฐบาล แนวทางนี้ต้องมีข้อมูลหลักฐานทางวิชาการที่หนักแน่นมารองรับ ถือเป็นชุดมาตรการทางอาญาและทางแพ่ง

8. สิทธิของประชาชน ร่างแทบทุกฉบับกล่าวถึงสิทธิในอากาศ ที่ควรเน้นย้ำคือ สิทธิในการปกป้องดูแล รับการรักษาพยาบาลของกลุ่มเสี่ยง หรือผู้มีอาการผิดปกติ โดยการออกตัวบ่งชี้ถึงสิทธิเข้าถึงการตรวจรักษาระดับสูง  มีการเพิ่มความชัดเจนในสิทธิฟ้องร้องเอาผิดทางอาญาทางแพ่งและต่อรัฐ มีการกล่าวถึงสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ สิ่งที่ควรเพิ่มคือ หน้าที่ของรัฐรับรองสิทธิที่ว่าโดยไม่ต้องร้องขอ คือ กำหนดให้หน่วยงานเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งมลพิษ หรือ สถิติของแหล่งมลพิษต่าง ๆ โดยไม่ต้องร้องขอ

 

9. มีกองทุน เพื่อความคล่องตัวจากเงื่อนไขทางงบประมาณ และที่สำคัญที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือ เงื่อนไขที่ชัดเจนในการใช้กองทุนเพื่อประโยชน์จำเป็นจริง และลดการแทรกแซงการใช้เงินจากอำนาจการเมือง / ร่างกฎหมายมีกล่าวถึงการให้มีกองทุน แต่ไม่ชัดเจนในหลักการสำคัญ ไม่ให้ถูกแทรกแซง และใช้เงินเพื่อประโยชน์ที่จำเป็นจริง

10. อำนาจบังคับและบทลงโทษ ตามพรบ.นี้ ต้องพิจารณาแบ่งเป็นลำดับขั้น ทั้งให้ความเป็นธรรมกับผู้ปล่อยมลพิษจากกิจกรรมปกติในชีวิต กับทั้งผู้รับมลพิษที่เป็นเหยื่อ

-เนื่องจากกฎหมายเดิมแต่ละฉบับ มีบทกำหนดโทษสำหรับการปล่อยมลพิษเกินมาตรฐานอยู่เดิม คือ รถยนต์/ปล่อยควันดำ โรงงานอุตสาหกรรม/ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน ปิ้งย่าง/พรบ.สาธารณสุข การเผาเกษตร/พรบ.สาธารณสุข เผาป่า/พรบ.ป่าไม้ อุทยานฯ หรือหากลามเป็นโทษกับผู้อื่นมีกฎหมายอาญา ตามมาตรา 220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท สามารถเปิดช่องให้เจ้าพนักงานตามกฎหมายนี้ เอาผิดด้วยกฎหมายเดิมได้ !!? หรือไม่ !!? เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อน

- การเอาผิดทางแพ่ง ควรเปิดช่องให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบฟ้องร้องเอาผิดทางแพ่งต่อผู้ปล่อยมลพิษ โดยวางระบบข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ขนาดของมลพิษอย่างเป็นทางการ ณ ขณะนั้น ประกอบเป็นหลักฐานให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก / หากเป็นการปล่อยมลพิษต่อสาธารณะ เจ้าพนักงานของรัฐ หรือ อัยการเป็นโจทย์

- มีบทเว้นโทษ ให้กับผู้ก่อมลพิษที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนปฏิบัติการแก้ปัญหา (คือปล่อยเกินได้หากมีลำดับการพยายามแก้ไข เช่น ลดพื้นที่ปลูกโดยลำดับ เป็นต้น) เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนยกระดับมาตรฐานสังคมในบั้นปลาย

11. เสนอเพื่อตัดทิ้ง

*หมายเหตุ ข้อความตามมาตรา 81 ร่างฉบับรัฐบาล ผู้ใดแพร่ข่าวไม่เป็นความจริงฯ เจตนาทำลายชื่อเสียงของกิจการโดยชอบกฎหมาย จำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสน / ถ้าแพร่ผ่านสื่อ ปรับไม่เกิน 5 แสน คุก 5 ปี เป็นโทษหนักกว่า กฎหมายประเภทเดียวกัน คือ ทั้งพรบ.คอมฯ และ อาญาฯหมิ่นประมาท มีไว้เอื้อต่อการฟ้องปิดปาก ผู้หวังดี ผู้ที่ส่งเสียงเตือน / สมควรควรตัดทิ้ง

 

⦿ ข้อเสนอรายมาตรา: 8 ประเด็น เสนอปรับเพิ่ม/ลด ในวาระแปรญัตติ เพื่อขอมติเครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ เสนอกรรมาธิการฯ ในโอกาสต่อไป

1. เพิ่มอำนาจให้คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด เสนอคณะรัฐมนตรี ประกาศห้ามนำเข้าสินค้าที่ก่อมลพิษอากาศข้ามพรมแดนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (ข้อตกลงการค้าโลก สามารถใช้เหตุผลด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมกีดกันทางการค้าได้) ทั้งนี้ ร่างเดิมเขียนให้ รมว.พาณิชย์ พิจารณาและประกาศห้ามนำเข้าเอง (ม.52) ซึ่งไม่เพียงพอ ไม่มีทรัพยากรศึกษาผลกระทบต่าง ๆ (ม.52 เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ)

2. เพิ่มตัวแทน องค์กร อปท. สมาคมอบจ. สมาคมเทศบาล สมาคมอบต. เข้าเป็นคณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด

3. เพิ่มเขตพื้นที่พิเศษ และคณะกรรมการอากาศสะอาดพื้นที่พิเศษ (ตามมาตรา 24 เดิม) ที่ถูกตัดไป เพราะโลกของความเป็นจริง เขตพื้นที่จังหวัดไม่ครอบคลุมการบริหารปัญหา และเขตกลุ่มจังหวัดตามร่าง ภท. ก็ไม่ครอบคลุมพื้นที่ปัญหาในโลกจริง เช่น สามป่าเหนือเขื่อน (พื้นที่จัดการร่วม 4 จังหวัดไฟใหญ่สุดของประเทศ) ส่วนเขตประสบมลพิษทางอากาศ หากประกาศครอบคลุมเขตปกครองซ้อนกัน การบริหารก็จะเกิดปัญหาอีก เพราะไม่มีคณะกรรมการที่มีกฎหมายรองรับ

4. เพิ่มการผนวกและบูรณาการแผนปฏิบัติการของส่วนงานต่าง ๆ และให้เพิ่มการมีส่วนร่วมจาก เครือข่ายป่าชุมชนเข้าในการบูรณาการแผนจังหวัด ตามมาตรา 26

5. นิยามการเผาที่โล่งให้ครอบคลุมการเผาในป่าให้ชัดเจน และการบริหารจัดการเชื้อเพลิง (ม.42-45) เพราะกำหนดห้ามดำเนินการหากไม่ได้รับอนุญาตจากผวจ. ซึ่งอำนาจไม่คลุมไปถึงเขตป่า หากไม่นิยาม ก็แสดงว่า กฎหมายอากาศสะอาดนี้ ยังไม่ก้าวข้ามไปจัดการการเผาในป่า ที่เป็นแหล่งใหญ่ของประเทศไทย

6. ให้เพิ่มเติมถ้อยคำ ในหมวดเขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษทางการอากาศ (ม.61-66) ให้รองรับพื้นที่คาบเกี่ยวทับซ้อนหลายจังหวัดหรือทับซ้อนอำนาจปกครอง/ป่าไม้ แม้ ม.61-66 จะเป็นเครื่องมือใหม่ สำหรับการเผชิญเหตุ และการจัดการคลี่คลายวิกฤต แต่จุดอ่อนคือ หากประกาศเขตประสบมลพิษข้ามจังหวัด หรือหลายจังหวัด จะประสบปัญหาการบริหารจัดการ เพราะกฎหมายให้อำนาจ คณะกรรมการจังหวัดนั้น ๆ ทำแผน ก็ต้องมีกลไกบูรณาการ ใครใหญ่ใครรอง ข้ามเขตได้หรือไม่ อันเป็นปัญหาแท่งราชการแบบเดิม ๆ

7. เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ (ม.67) ให้เพิ่ม PPP แบบก้าวหน้า คำนึงถึงหลักความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม และข้อตกลงทางการค้าโลก/อาฟต้า/ทวิภาคี เพื่อจัดการสินค้ามีผลกระทบสุขภาพ

8. ตัดมาตรา 81 ที่เป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบของประชาชน และอาจเป็นเครื่องมือปิดปากให้กับกลุ่มทุน ทั้งไม่สอดคล้องกับกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่มีอยู่ก่อน

*หมายเหตุ เอกสารประกอบการหารือเครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ 29 มกราคม 2567 ยังไม่ใช่มติที่ประชุมทางการ


 

 

 


นายอาคม สุวรรณกันธา ตัวแทนหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ / ฝ่ายประสานงานแก้ปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน สภาลมหายใจภาคเหนือ เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับมิติเรื่องฝุ่นควันข้ามแดน โดยกล่าวว่า จาก 10 ประเด็นสำคัญที่กฎหมายอากาศสะอาดจะต้องมีข้างต้น มีหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นข้ามแดน ในเรื่องการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนต่าง ๆ ที่มีการนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรเข้ามา ซึ่งสิ่งที่เราต้องติดตามคือการบังคับใช้ทางกฎหมาย ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายแต่ใช้ได้จริงหรือไม่ จึงจำเป็นต้องมีกลไกการตรวจสอบและควบคุมการดูแลแหล่งกำเนิด

 

⦿ สภาลมหายใจภาคเหนือได้ประมวลยุทธศาสตร์การแก้ไขฝุ่นควันข้ามพรมแดน ดังนี้

1. การเพิ่มของจุดความร้อนในลุ่มแม่น้ำโขง เกิดต่อเนื่องมาตั้งแต่ ทศวรรษ 2010

2. ไฟใน สปป.ลาว มากขึ้นชัดเจนในปี 2566 จากราคาพืชเกษตร ข้าวโพด มันสำปะหลัง มีการขยายพื้นที่เพาะปลูก

3. กระแสไม่เห็นด้วยกับการเผามีมากขึ้นชัดเจนในประเทศเพื่อนบ้าน เครื่องวัดยังน้อย ไม่ครอบคลุม

4. ไฟในเมียนมาร์ (รัฐฉาน/กะยา) มีไฟเกษตรเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีการเผาป่ามากในบริเวณลุ่มหุบเขาสาละวิน และด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน อันเป็นเขตของชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ (ปัญหาเศรษฐกิจ)

5. ไฟในเมียนมาร์มิได้มาจากข้าวโพดและเกษตรเพียงประการเดียว ต้องรวมถึงการเผาในป่าชายแดน/และเขตอิทธิพลชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะเขตน้ำสาละวินด้วย

6. ข้าวโพดมีมากในรัฐฉานและนำเข้ามาก แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นข้าวโพดแปลงใหญ่ ควรตรวจสอบเพิ่ม

7. เสนอให้ควรหาทางติดตั้งเครื่องวัดอากาศในเมียนมาร์/สปป.ลาว เพื่อสร้างกระแสความรับรู้ ความตระหนักภัยให้สาธารณชน

8. ลมในเขตลุ่มน้ำโขงเปลี่ยนไปมา ในช่วงมกราคม-พฤษภาคม ไม่สามารถพยากรณ์ได้แน่นอน

9. การสร้างความตระหนัก ขยายข่าวสารของภาคประชาชนร่วมกัน ควรจะมีควบคู่กับการเจรจา

⦿ ความเคลื่อนไหวในปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับฝุ่นควันข้ามแดน


ในปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวจากทางภาครัฐมากขึ้น เช่น การประชุมตามกรอบความร่วมมือของ ASEAN/GMS, Workshop on Open Burning and Transboundary Pollution Management for Northern of SEA ที่นับเป็นกลไกการขับเคลื่อนของภาครัฐ 3 ประเทศ เชิง Action ครั้งแรก เพื่อเตรียมวางแผนตลอดทั้งปี ระหว่างไทย-สปป.ลาว-เมียนมาร์, โครงการลมหายใจไทย-ลาว อบรมเรื่องห้องปลอดฝุ่น ให้ตัวแทนชุมชนทั้ง
เวียงแก่น จังหวัดเชียงราย และเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
, ประชุมถอดบทเรียนเตรียมขับเคลื่อนแผนรับมือหมอกควันข้ามแดน ณ จังหวัดเชียงราย จัดโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ข้อสรุปดังนี้

 


และล่าสุดได้มีการริเริ่มแก้ฝุ่นควันข้ามแดนแบบบูรณาการกับแขวงไชยบุรี สปป.ลาว ซึ่งเป็นเขตรอยต่อกับจังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567

นอกจากนี้ สภาลมหายใจภาคเหนือได้ประสานความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ และจัดเวทีเพื่อสร้างกลไกผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง


- งานเสวนา “เวทีประชาคมลมหายใจลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน 2023 (GMS Breath Congress 2023 : Transboundary Air Pollution – P.M 2.5)” เมื่อวันที่ 22-23 มิถุนายน 2566

 

โดยมีประเด็นขับเคลื่อน 4 ประเด็น

1.       การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน โดยส่งเสริมความร่วมมือเครือข่ายการตรวจวัดคุณภาพอากาศของประเทศ

2.       การสร้างเวทีประชุมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการปกป้องและร่วมกันหารือสร้างกลไกป้องกันปัญหาผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นควัน ในระดับเพื่อนบ้าน
ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน

3.       การร่วมประสานงานหน่วยงานของตนเองที่จะสนับสนุนความรู้ด้านวิชาการ ในการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมติดตามตรวจวัดจุดความร้อน และการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงถ่ายทอดประสบการณ์ในการบริหารจัดการเกษตรในพื้นที่สูง การบริหารจัดการไฟ รู้จักพฤติกรรมไฟ ลม อากาศ
เป็นต้น

4.       การจัดตั้งสำนักเลขาธิการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนในระดับอาเซียนที่เชียงใหม่ เพื่อดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียนตอนบน

 



- เวทีเสวนา “ก้าวสู่ยุทธศาสตร์ใหม่ จัดการแหล่งกำเนิดไฟในป่าและผลกระทบฝุ่นข้ามแดน” ในงาน ประชุมระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM2.5 ครั้งที่ 1 (Thailand National PM 2.5 Forum) เมื่อวันที่ 3-4 ธันวาคม 2566

 

โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.       การออกกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน

2.       ให้ใช้ระบบตรวจสอบ Good Agriculture Practices (GAP) ทันทีในการนำเข้าพืชผลการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน

3.       ให้ผู้รับซื้อในประเทศประสานผู้ปลูกให้เข้าระบบ Fire Check (ระบบการบริหารการเผาที่สอดคล้องกับสภาพความพร้อมในการระบายอากาศ อ้างอิง คพ.และมช.)

4.       ให้จัดตั้งศูนย์กลางปฏิบัติการร่วมแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ระดับอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม ที่ภาคเหนือตอนบน

5.       การขับเคลื่อนผ่านสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่รัฐจะต้องคุ้มครองสุขภาพประชาชน การใช้กลไกการมีส่วนร่วม และกำหนดตัวชี้วัดในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ

 

 

 

⦿ Next Step 2024-2025

1. การสร้างกลไกการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนระหว่างท้องถิ่นกับท้องถิ่น เอกชนกับเอกชน ใน 5 พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน และชายแดนไทย ลาว เมียนมาร์ และจีนตอนใต้ เน้นเรื่องการแก้ไขปัญหาสุขภาพ และกลไกการป้องกัน

2. การสร้างเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการมีส่วนร่วมขององค์กรระหว่างประเทศ สถาบันการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน

3. การสร้าง Platform การแก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน โดยถอดบทเรียนในต่างประเทศ เช่น ภายใต้กรอบ ASEAN-GMS และในพื้นที่กรณี สหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยนำนวัตกรรมมาใช้ รวมถึงขยายการสนับสนุน App Fire-D GMS

4. การจัด Focus Group และ GMS Breath Congress 2024 อันจะก่อตั้งสภาลมหายใจลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตภายใต้กลไกภาคประชาสังคมและสื่อ

5. การจัดทำสื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในลุ่มแม่น้ำโขง GMS Dust Station นำร่องไทย ลาว และจะขยายในพื้นที่เมียนมาร์ในอนาคต

5. การติดตาม พรบ.อากาศสะอาดของไทย สะท้อนปัญหา Voice นำเสนอเชิงนโยบายต่อภาครัฐในแต่ละประเทศให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

 

 

 

 

 

 

 

 




1. สามชาย พนมขวัญ - สภาลมหายใจจังหวัดแพร่

สนใจเรื่องการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชนหรือชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ ที่สภาหอสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมเป็นหลัก อยากจะเสนอว่า เป็นไปได้ไหมที่จะให้ระบุภาคประชาชน เช่น ภาคการเกษตร และภาคประชาสังคมที่ทำงานเรื่องนี้ให้มีสัดส่วนอยู่ในคณะกรรมการระดับจังหวัด เป็นกลุ่มที่สามารถเป็นกำลังสื่อสารต่อทางราชการได้ อยากขอเน้นความร่วมมือภาคประชาชนกับรัฐในเรื่องนี้

2. อรุณี เวียงแสง - สภาลมหายใจจังหวัดแม่ฮ่องสอน

สนใจเรื่องกลไกทางเศรษฐศาสตร์ ที่จริงแล้วงานวิจัยในเรื่องของหมอกควันไฟป่าที่จะลงในระดับชุมชนที่มีชุมชนเป็นตัวร่วมในการวิจัยไม่ค่อยมีมาก ส่วนใหญ่จะเป็นวิจัยเชิงนวัตกรรม มีนักวิชาการมาร่วม เพราะฉะนั้น
คิดว่าประเด็นสำคัญในเชิงของสิ่งจูงใจที่จะทำให้ชาวบ้านไม่เผา สามารถที่จะสร้างแรงจูงใจได้ในทางเศรษฐศาสตร์คือการมีรายได้ ที่เป็นลักษณะของการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นมาตรการ 1 ใน 11 มาตรการที่ประกาศออกมาโดยภาครัฐ ซึ่งไม่ค่อยมีคนให้ความสำคัญเท่าที่ควร แล้วก็ไม่ค่อยมีการวิจัย เพราะฉะนั้นการสร้างความรู้ด้วยการวิจัยควรมีองค์กรที่รับเรื่องนี้ไปดำเนินการหาโจทย์ว่าอะไรคือจุดติดขัดที่จะต้องใช้เครื่องมือวิจัยในการที่จะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง อาจมีกระบวนการตั้งกลุ่ม หรือกลไกที่จะเสนอเรื่องงานวิจัยที่น่าสนใจและสามารถแก้ไขปัญหาได้ชัดเจน

3. เสกสรรค์ แดงใส - สภาลมหายใจจังหวัดลำปาง

ในพื้นที่งาว จังหวัดลำปาง เรื่องแรกที่ขอเสนอ คือ เรื่องฐานข้อมูลอยากให้มีการเกิดขึ้นจริง ฐานข้อมูลที่หมายถึงไม่ใช่ต่างคนต่างเก็บ แต่ต้องเป็นฐานข้อมูลกลาง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีข้อมูลดาวเทียม Burn Scar จาก Core Spot สามารถเอาข้อมูลลงฐานเพื่อให้คนสามารถรับรู้สถานการณ์ในพื้นที่ได้ จะสามารถทำให้ผู้ว่า นายอำเภอ ชาวบ้านได้ดูข้อมูลชุดเดียวกัน เพราะข้อมูลทุกวันนี้มาจากหลายแหล่ง หลายหน่วยงาน แต่ว่าเป็นข้อมูลดิบ ทำให้เราต้องมาอธิบายซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจ ตอนนี้ข้อมูลของเราทั้งประเทศเป็นข้อมูลที่ใช้กันคนละทาง คนละชุด แต่ถ้ามีฐานข้อมูลกลางจริง ๆ ที่ทุกคนใช้ร่วมกันและเป็นข้อมูลที่ผ่านการรับรอง และถ้ามีจากท้องที่ขึ้นไปด้วยจะดีมาก

 

และเรื่องที่สอง คือ กรณีที่นักวิจัยเข้ามาทำวิจัย แต่ทำในต่างพื้นที่ ต่างกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการเผาและไม่ต้องการเผา มันจะไม่สามารถเกิดงานวิจัยที่ได้ข้อมูลที่ตรงกันได้ จึงอยากให้นักวิจัยเข้ามาทดลองจริงจังในพื้นที่ เพื่อดูว่าสิ่งที่ชาวบ้านหรือกลุ่มตัวอย่างงานวิจัยกลุ่มไหนคือข้อเท็จจริง และต้องการให้หน่วยงานต่าง ๆ พูดคุยกันให้มีข้อตกลงกลาง เผื่อลดความเข้าใจผิด หรือสื่อสารไม่ตรงกันออกมา เพื่อที่จะสามารถทำให้ประชาชน ชาวบ้านปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

4. นคร ชัยนำ - สภาลมหายใจจังหวัดลำพูน

ประเด็นแรก คือ อยากให้มีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมได้ให้ข้อมูลจากพื้นที่จริง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลน่าจะมีโอกาสเข้าไปเป็นอนุกรรมาธิการวิสามัญด้วย ในการพิจารณาเพื่อที่จะให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงให้กับคณะอนุกรรมการ และเสนอชั้นคณะกรรมาธิการต่อ ประเด็นที่สอง อยากให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม มีบทบาทในการเป็นตัวเลือกในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่ระบุ 20 กลุ่มอาชีพ และอยากให้สภาลมหายใจภาคเหนือได้มีโอกาสเป็นตัวเลือก เป็นตัวแทนองค์กรในวุฒิสภา

5. สุรีรัตน์ ตรีมรรคา - มูลนิธิเพื่อลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่

อยากจะขอจุดยืนที่ชัดเจนของกรรมาธิการ โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายเพราะว่าสภาลมหายใจและประชาชนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้กับพ.ร.บ.ฉบับของเครือข่ายของประชาชน อยากให้มีการมุ่งเน้นให้องค์กรประชาชนเป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น คนในระดับภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการดำเนินการในการแก้ปัญหาในเชิงรุก และในเชิงรับ เพราะฉะนั้นต้องต้องยึดมั่นในประเด็นเรื่องขององค์กรอากาศสะอาด และจะต้องเป็นหน่วยงานที่มีความคล่องตัวเป็นอิสระ และต้องการให้สนับสนุนในเรื่องของกองทุน งบประมาณจากรัฐในการทำงาน ทั้งในการแก้ปัญหาระยะต่าง ๆ ในเชิงที่เปลี่ยนผ่าน ปรับปรุง วิกฤต ลดปัญหาไฟและฝุ่นควัน และให้มีการสนับสนุนเรื่องกระบวนการขนส่งสาธารณะให้คนเข้าถึงใช้ได้มากที่สุด ร่วมถึงนำเอาญัตติที่เป็นจุดยืนของภาคประชาชนเข้าประกอบบร่าง และขอให้ทางกรรมาธิการในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้พิจารณาร่างและให้จุดยืนที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ร่วมถึงขอให้มีการปรึกษากับองค์กรภาคประชาชน หน่วยงานที่ทำงานด้านนี้ด้วย

 

 

 

6. สงบ อินเทพ - สภาลมหายใจจังหวัดเชียงราย

ขอเสนอความคิดเห็นในประเด็นเรื่องจัดตั้งกองทุน โดยอยากให้ทางรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันจัดตั้งกองทุนที่มาจากการปรับเงินจากผู้ที่ลักลอบเผา หรือจากบริษัทที่ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องมลพิษทางอากาศตามกฎหมาย เพื่อที่จะนำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาการทำงานด้านฝุ่นควันไฟป่า เป็นงบสนับสนุนได้ และในเรื่องของร่างพ.ร.บ. โดยเฉพาะของก้าวไกลที่เป็นเรื่องฝุ่นควันข้ามแดน อยากให้ร่างอื่น ๆ หรือทางรัฐบาลให้ความใส่ใจเรื่องหมอกควันฝุ่นข้ามแดนด้วย เนื่องจากหลายพื้นที่ได้ผลกระทบจากการที่ติดชายแดน นอกจากนี้ในเรื่องของจุดยืน ขอให้ทั้ง 7 ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดได้มองประชาชนเป็นหลัก เพราะที่เราทำตอนนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว ขอฝากรัฐบาลเร่งพิจารณาให้เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

7. มุกดา อินต๊ะสาร - สภาลมหายใจจังหวัดพะเยา

อยากให้เขียนกฎหมายให้อ่านชัด ไม่ต้องแปลเพิ่มเติม ให้ประชาชนเข้าใจง่ายมากที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาในการตีความ

8. ชัยยนต์ ศรีสมุทร – นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสาย จังหวัดเชียงราย

ประเด็นที่ 1 อยากให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีผู้มีความรู้เรื่องฝุ่นอยู่ด้วย ประเด็นที่ 2 อยากให้มีคุณหมอที่สามารถชี้อธิบายผลกระทบฝุ่นพิษ PM2.5 ต่อสุขภาพ เนื่องจากประชาชนยังไม่ได้ตระหนักรู้มากในส่วนนี้ อยากจะให้ออกข้อมูลมาให้ประชาชนรับรู้รับทราบ ในส่วนของเรื่องข้าวโพดใช้เลี้ยงสัตว์อยากให้ฝ่ายรัฐบาลติดตามเรื่องหนังสือรับรองเพื่อความปลอดภัย กระบวนการที่อาจส่งผลต่อการเกิดฝุ่นได้ และเรื่องที่ 3 ที่ทางเราอยากจะเรียกร้อง คือขอเจรจา 3 ฝ่ายทั้งรัฐบาล ผู้ประกอบการ และภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อหาแนวทางยั่งยืน ไม่อยากให้มีฝ่ายไหนเป็นจำเลยสังคม และทางตำบลแม่สายยินดีให้ตั้งศูนย์เรียนรู้ฝุ่นข้ามแดนอาเซียนในพื้นที่

 

 

 

 

 

9. ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ - ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่

เห็นด้วยกับทุกฝ่ายกับประเด็นที่ว่า การแก้ไขปัญหาที่ครบทุกสาเหตุ อย่างต่อเนื่อง และจริงจัง โดยอยากฝากประเด็นหนึ่ง คือ เรื่องความเป็นธรรมการแก้ไขปัญหา จะสร้างความเป็นธรรมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไร อยากให้มันมีความชัดเจน มีบทลงโทษหรือข้อปฏิบัติที่ประชาชนทุกส่วนสามารถปฏิบัติตามได้ หรือมีการแบ่งประเภท เพราะประเทศไทยไม่ได้มีแค่คนกลุ่มเดียว แต่มีทั้งกลุ่มชนชั้นนำ/ผู้ประกอบการใหญ่ กลุ่มรายได้ปานกลาง และกลุ่มรากหญ้า/ชาวบ้านบนพื้นที่สูง หากทำให้เกิดความเป็นธรรมอย่างยั่งยืนได้ จะทำให้รัฐได้รับประโยชน์ ส่วนรวมได้รับประโยชน์ ทุก ๆ ฝ่ายได้รับประโยชน์ ในการแก้ไขปัญหาจะยั่งยืน อยากจะฝากเป็นประเด็นที่สำคัญ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


นายดนัยภัทร โภควณิช เครือข่ายอากาศสะอาด (ประเทศไทย) / กมธ.วิสามัญ พิจารณา พ.ร.บ.อากาศสะอาด กล่าวว่า จากที่ฟังความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะจากทุกท่าน พบว่าในหลายหลักการที่ทางสภาลมหายใจภาคเหนือได้นำเสนอ ในหลายประเด็นมีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับเครือข่ายอากาศสะอาดและกรรมธิการวิสามัญ รวมถึงร่างพ.ร.บ.ของภาคประชาชนก็มีหลักการในทำนองเดียวกัน อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่าง แต่สามารถพูดคุยกันได้

          ⦿ ประเด็นที่ 1 สิทธิของประชาชน ปีที่ผ่านมาองค์การสหประชาชาติได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งรวมถึงสิทธิอากาศสะอาดเป็นองค์ประกอบในนั้น เป็นสิทธิมนุษยชนตามกฎหมาย สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยมีพันธกรณีหรือมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องเคารพปกป้องและทำให้สิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการนำเข้าสิทธิสิ่งแวดล้อมเข้ามาในระบบกฎหมายของประเทศไทย ซึ่งควรจะเขียนอยู่ในรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ แต่รัฐธรรมนูญของเรายังอยู่ในระหว่างการตั้งไข่ ซึ่งไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเครือข่ายอากาศสะอาดจึงเห็นตรงกันในเรื่องการสถาปนาสิทธิอากาศสะอาด อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่รัฐจะต้องเคารพปกป้องและเติมเต็มโดยไม่มีเงื่อนไข และไม่ใช่แค่สิทธิในอากาศสะอาดเท่านั้น ยังรวมไปถึง สิทธิเชิงกระบวนการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สิทธิในข้อมูลข่าวสาร สิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการวางแผนร่วมตัดสินใจกับภาครัฐ สิทธิในกระบวนการยุติธรรมหรือสิทธิในการฟ้องคดีการได้รับการเยี่ยวยาความเสียหาย เป็นต้น ซึ่งสิทธิเหล่านี้ควรได้รับการสัมปทานอย่างเป็นระบบ

          ร่างกฎหมายอากาศสะอาดฉบับพึงประสงค์จะต้องเขียนบัญญัติอย่างชัดเจนและเป็นระบบ โดยให้สิทธิขึ้นมาก่อน แล้วหน้าที่ของรัฐจึงตามมา ไม่ใช่เขียนในเชิงให้รัฐมามอบสิทธิ์ให้ประชาชน และทุกคนต้องสามารถอ่านแล้วเข้าใจ รู้ได้ทันทีว่าคุณมีสิทธิอะไรบ้าง หน้าที่ของรัฐมีอะไรบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในกรณีถูกละเมิดและสามารถตรวจสอบติดตามการทำงานของรัฐด้วย

          ในเรื่องของสิทธิอื่น ๆ เช่น สิทธิในข้อมูลข่าวสาร-สร้างฐานข้อมูลกลางที่เป็นระบบให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศที่ไม่ใช่แค่ตัวเลข ต้องมีข้อมูลเรื่องสุขภาพด้วย เชื่อมโยงถึงสิทธิของกลุ่มเปราะบางที่ทางสภาลมหายใจภาคเหนือเสนอแนะ เห็นตรงกันว่าต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจากสถานพยาบาลของรัฐ ซึ่งสามารถพูดคุยเพิ่มเติมได้ต่อไป

          ⦿ ประเด็นที่ 2 การมีส่วนร่วมของประชาชน ในร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดของประชาชน มองการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับการจัดการร่วมระหว่างประชาชนและภาครัฐ ในลักษณะเป็นหุ้นส่วนทางอำนาจที่มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งคณะกรรมการเห็นตรงกันทั้งในระดับนโยบายและกำกับดูแล ส่วนประเด็นเรื่องภาคประชาชนที่จะเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการก็มีเขียนไว้มา ต้องไม่ควรมีสัดส่วนจากภาคผู้ก่อมลพิษมาก แต่ต้องมาจากภาคผู้ได้รับผลกระทบ/กลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในพ.ร.บ.ภาคประชาชนเราก็ยังไม่ได้เขียนหลักเกณฑ์ว่าเราจะเลือกกันอย่างไร ยินดีรับความเห็นเพื่อที่จะมาเติมในส่วนนี้

          ⦿ ประเด็นที่ 3 เรื่องฝุ่นควันข้ามแดน เห็นด้วยทั้งสิ้น รวมทั้งเห็นด้วยในประเด็นที่ว่ามาตรการควรจะต้องมีมาตรการเชิงบังคับลงโทษและมาตการเศรษศาสตร์ควบคู่กัน ของเครือข่ายอากาศสะอาดจะเน้นไปทางเชิงบังคับลงโทษ ที่ได้รับโมเดลมาจากสิงคโปร์ แต่ในขณะเดียวถ้ามีส่วนเสริมเพิ่มเติมเรื่องมาตรการเศรษฐศาสตร์ที่จะใช้ควบคู่ไปด้วยกันที่ทางสภาลมหายใจภาคเหนือเสนอมา ก็สามารถจะนำไปพูดคุยกันต่อไปในชั้นกรรมาธิการ

          ⦿ ประเด็นที่ 4 เรื่องการจัดการบูรณาการการบริหารงานของภาครัฐ ยืนยันว่าภาคประชาชนยังยืนหยัดว่าจะต้องมีการทำลายโครงสร้างเดิมให้ได้ เราขาดหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการจัดการปัญหาเรื่องอากาศสะอาด อย่างไรก็ตาม ยังมีรายละเอียดที่ยังคิดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องโครงสร้างองค์กร ว่าควรมีลักษณะอย่างไรที่จะตอบโจทย์ ซึ่งทางเครือข่ายอากาศสะอาดเห็นว่าควรมีโครงสร้างองค์กรใหม่ อาจจะเป็นเชิงการยกระดับองค์กรเดิมหรืออื่น ๆ ให้มีการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างบูรณาการ

          ⦿ ประเด็นที่ 5 มาตรการเศรษฐศาสตร์และกองทุน เห็นด้วยว่าจำเป็นต้องมี ยืนยันว่าเราจะมีกองทุนเฉพาะคือ กองทุนอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ เป็นกองทุนที่ไม่พึ่งงบประมาณแผ่นดินเกินไป สามารถหาเงินด้วยตนเองได้ พึ่งพาตนเองได้

          ⦿ ประเด็นที่ 6 ในเรื่องบทกำหนดโทษ เห็นด้วยว่าไม่มีความจำเป็นมากขนาดนั้น ต้องคำนึงไม่ให้เกิดเป็นความซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม

          สุดท้าย ยืนยันว่าจะนำเอาข้อห่วงกังวล/ข้อเสนอแนะของทุกท่านเข้าไปพูดคุยต่อไปในชั้นกรรมาธิการ เพื่อที่จะทำให้พ.ร.บ.อากาศสะอาดฉบับนี้จะเป็นฉบับประวัติศาสตร์ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน

 

 

นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ พรรคก้าวไกล / กมธ.วิสามัญ พิจารณา พ.ร.บ.อากาศสะอาด กล่าวว่า ในอดีตประชาชนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจเฉพาะวาระแรก เมื่อผ่านแล้วไม่ได้ติดตามกันไปต่อ เพราะฉะนั้นในร่างฉบับนี้ อยากให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในการประชุมทุก ๆ ครั้งของชั้นกรรมาธิการ โดยพรรคก้าวไกลจะมีการประสานกับภาคประชาชนตลอดว่ามีผลการประชุมและการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง โดยต่อจากนี้ พรรคก้าวไกลจะมีแผนงานการเอาร่างของครม.ที่ปัจจุบันเราใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณา จะนำมาตัดทอนบางส่วนและเพิ่มเนื้อหาของพรรคก้าวไกลเข้าไปใส่ จนเป็นร่างที่เห็นว่าเกิดประโยชน์สูงสุด แล้วจะนำไปหารือกับภาคประชาชนต่อไป และจากข้อเสนอแนะ มีความเห็นแยกตามประเด็น ดังนี้

          ⦿ ประเด็นที่ 1 กฎหมายฉบับนี้ต้องเร็ว มีข้อกังวลว่าไม่ควรที่จะทำให้กฎหมายพิจารณาด้วยความเร็วเกินไป อาจจะทำให้เราไม่สามารถนำเนื้อหาจากร่างอื่น ๆ เข้ามาประกอบกับร่างครม.ปัจจุบันได้ สำหรับพรรค
ก้าวไกลอาจจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะทำให้เสร็จโดยเร็ว แต่เราจะทำให้มีประโยชน์/ประสิทธิภาพสูงสุดแน่นอน

          ⦿ ประเด็นที่ 2 สิทธิการรักษา ร่างของพรรคก้าวไกลอาจจะมองต่างจากฉบับอื่น ไม่ได้มองแค่สิทธิการรักษาอย่างเดียว เรามองเรื่องการคัดกรองและการตรวจสุขภาพด้วย ตามข้อเสนอของอาจารย์ไพสิฐ จะทำให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

          ⦿ ประเด็นที่ 3 ระบบฐานข้อมูลข่าวสาร ร่างของพรรคก้าวไกลมีระบุชัดเจนในมาตราที่ 59 เรื่องของการเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงเปิดเผยในเรื่องการดำเนินงานของรัฐทุกอย่างในแต่ละปี อย่างน้อยต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ

          ⦿ ประเด็นที่ 4 การสนับสนุนการวิจัย ที่ให้เพิ่มไปในการกำหนดนโยบาย จะนำเข้าไปประชุมในชั้นกรรมธิการแน่นอน พรรคก้าวไกลจะมีการนำเรื่องนี้เข้าไปบรรจุอยู่แล้ว แต่จะอยู่ในเรื่องของกองทุนสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยค่าปรับทั้งหมดจะเข้ามาอยู่ในกองทุนนี้ และมีระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าจะนำไปใช้ในเรื่องของการเยียวยา และการทำงานวิจัย

          ⦿ ประเด็นที่ 5 การคุ้มครองประชาชนที่ฟ้องร้องต่อหน่วยงานรัฐ มีบรรจุชัดเจนอยู่แล้วในร่างของการปกป้องสิทธิประชาชน

          ⦿ ประเด็นที่ 6 การประกาศเขตภัยพิบัติ จากการเปรียบเทียบการประกาศเขตภัยพิบัติในอดีต มองว่าควรจะมีการปรับเกณฑ์ใหม่ให้ลดลงมาเล็กน้อย

          ⦿ ประเด็นที่ 7 การปรับตัดทอนเนื้อหาฉบับครม. มองว่ากฎหมายฉบับนี้ของครม.มีการนำเนื้อหาของพ.ร.บ.ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใส่มากเกินไป อาจจะต้องมีการตัดทอน

          ⦿ ประเด็นที่ 8 มาตรา 81 จำเป็นต้องแก้ ว่าด้วยเรื่องของการฟ้องปิดปากประชาชนและสื่อมวลชน มองว่าควรเปลี่ยนเป็นการเปิดเผยรายชื่อผู้ก่อมลพิษต่อสาธารณชนดีกว่า

          ⦿ ประเด็นที่ 9 ให้ตัวแทนจากท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม ร่างของพรรคก้าวไกลไม่เหมือนกับฉบับอื่น มอบให้นายกอบจ.เป็นหัวเรือแทนผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะอายุการทำงานเฉลี่ยของผู้ว่าฯประมาณ 1 ปี 8 เดือน ที่อาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องพื้นที่เท่าที่ควร ควรจะปรับให้เป็นนายกอบจ.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนขึ้นมานำแทน นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากอปท. ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการระหว่างจังหวัด

          ⦿ ประเด็นที่ 10 การเขียนกฎหมายให้อ่านง่าย เข้าใจได้ทันที เห็นด้วยอย่างยิ่ง จะทำให้การตีความในชั้นกรรมาธิการให้ประชาชนเข้าง่ายมากที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาการตีความที่ต่างออกไป

          ⦿ ประเด็นที่ 11 อัพเดทเพิ่มเติมเรื่องการประกาศการนำเข้าข้าวโพดอาหารสัตว์จากกระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบันมีการประกาศไปแล้ว ของปี 2567 โดยปีนี้จะประกาศแค่ปีเดียว ซึ่งปกติจะประกาศ 3 ปี มีความกังวลว่าอาจจะเป็นการเปิดช่องให้ผู้ประกอบการหรือไม่ และทางพรรคก้าวไกลได้ขอรายละเอียดหนังสือรับรองที่ผู้นำเข้าจะต้องส่งให้กระทรวงพาณิชย์ เพื่อรับรองว่าสิ่งที่นำเข้าไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการหลักการให้ผู้ประกอบการได้พิสูจน์ ไม่ให้ตกเป็นจำเลยของสังคม โดยต้องมีการรายงานข้อมูลอย่างเปิดเผย

         


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น