ออบหลวง สู่ยุทธศาสตร์ไฟแปลงใหญ่โซนใต้
ให้ภาพเล่าเรื่อง

---------
ภาพที่ 1: ผู้ว่าฯเซมเบ้ให้ผู้บริหารจังหวัดลงพื้นที่ไฟออบหลวงเมื่อคืน (26ก.พ.67)
ระดมกำลังและบัญชาการให้ดับไฟพิกัดสำคัญหลังที่ทำการอุทยานฯให้ดับให้ได้โดยใช้ไฟชน ตัดแนว กลับจวนดึกดื่น ผมมาพบตอนเช้าท่านผู้ว่าฯโพสต์เหตุการณ์ออบหลวงในไลน์กลุ่มหนึ่งเมื่อเกือบเที่ยงคืน เช้านี้ ผอ.สบอ.16 บัญชาการดับไฟใช้ ฮ. ดับโดยขุดขยายแหล่งน้ำใกล้ๆแทนบินไกล
เหตุการณ์น่าสนใจอีกประการคือรองผู้ว่าฯทศพล มีรายงานถอดบทเรียนป่าโซนใต้ที่ละเอียดและมองไปข้างหน้า เอ่ยถึงเหตุทุกเหตุอย่างกล้าหาญที่จะต้องพูด เพื่อจะนำไปสู่การแก้ปัญหายั่งยืน
เรื่องชาวบ้านหาของป่า เรื่องงบประมาณและเงินไม่ครบ เรื่องการบริหารจัดการไฟจำเป็นที่ยังไม่สมบูรณ์ เรื่องกระจายอำนาจ เรื่องไฟแค้น ฯลฯ ผมอยากจะเติมชัดๆ ว่า การบริหารงานภายในของหน่วยงานก็อีกเหตุของไฟ นี่ไม่ได้พูดถึงปีนี้นะครับ เอ่ยเรื่องนี้ย้อนไปไกลๆ เพื่อให้สมบูรณ์
สังคมเราเป็นสังคมฟังกันประโยคเดียว อ่านแค่ 8 บรรทัด เมื่อปีกลายผมทักท้วงเรื่องไฟชิงเผาแต่ลามข้ามคืน มีคนชี้ว่าไอ้นี่พวก zero burn ไม่เข้าใจชิงเผา แล้วเป็นไงล่ะ ปีนี้ การย่อยแปลง การให้ประกาศล่วงหน้า การต้องดับจบก่อนค่ำเป็นมาตรฐานใหม่แล้ว
เรื่องออบหลวงหรือป่าใดๆ ก็เช่นกัน
มันจะมีการแยกฝ่ายสรุปเหตุเป็นพวกฝ่ายอยู่เดิมแล้ว เช่น ฝ่ายที่ชี้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำ ก็จะยืนกรานเช่นนั้น ฝ่ายที่ชี้ว่าชาวบ้านทำก็จะยืนกรานเช่นนั้น ฝ่ายที่เชื่อว่าข้าวโพดก็จะยืนกรานปักใจเช่นนั้น
ผมได้ยินเรื่องไม้ประดู่มาเช่นกัน คงมีบางพิกัดที่มีไฟตัวนี้ อาณาเขตการไหม้ปีนี้กินพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ แต่ละพิกัดมีรายละเอียดเหตุปัจจัยต่างกันไป ติดตามเหตุต่อเนื่องก็พอเห็นภาพว่า มันจะชี้เปรี้ยงตูมเดียวไปเหตุเดียวไม่ได้
ผมได้ยินเรื่องไม้ประดู่มาเช่นกัน คงมีบางพิกัดที่มีไฟตัวนี้ อาณาเขตการไหม้ปีนี้กินพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ แต่ละพิกัดมีรายละเอียดเหตุปัจจัยต่างกันไป ติดตามเหตุต่อเนื่องก็พอเห็นภาพว่า มันจะชี้เปรี้ยงตูมเดียวไปเหตุเดียวไม่ได้
วันที่ 16 กพ มีไฟข้ามถนนทางด้านดอยยาวลงใต้มา มันไม่เป็นไฟเดียวกับด้านบนน้ำพุร้อนแน่นอน เช่นเดียวกับไฟด้านผาดำ ก็เป็นคนละหย่อมกับแม่โถที่ลามแปลกๆลง ตต/ใต้
ไฟออบหลวงและป่าโซนใต้บริเวณสามเหลี่ยมรอยต่อ เป็นไฟแปลงใหญ่ซ้ำซากของจังหวัด ปีนี้ ได้นักข่าวขยันคือโกวิทย์ บุญธรรม ลงคลุก สปอตไลท์มันขึ้นมา
การจุดประเด็นข่าวกระแสสังคมให้คนสนใจในยุคนี้ไม่ง่าย บางเรื่องสำคัญมากสำหรับเรา เช่น ไฟป่าสาละวิน แต่จุดไม่ติด ปีที่แล้วออบหลวงเรื่องใหญ่ของเชียงใหม่ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ระดับสรยุทธ์เอาไปเล่า แต่ปีนี้มันเป็นประเด็นระดับชาติคนสนใจ โซเชียลสนใจ อย่างที่เคยเขียนไป ก่อนหน้านี้มีความพยายามชี้เป้าออบหลวง แต่มันยังไม่คลิก
ปีหน้า คงจะมีความสนใจเป็นพิเศษต่อป่าออบหลวงและพื้นที่ไฟแปลงใหญ่โซนใต้ของแอ่งเชียงใหม่ในเชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์การจัดการมากขึ้น
ขอบคุณสื่อ ขอบคุณโซเชี่ยล ขอบคุณท่านผู้ว่าและทีมเชียงใหม่ด้วย
---------
ภาพที่ 2 : สถิติดาวเทียม
การไหม้ของป่าออบหลวงมีความคล้ายคลึงซ้ำ ๆ ทุกปี ทั้งพิกัดและเวลา ภาพนี้คือสถิติการเกิดไฟของเขา เริ่มในมกราคม มากสุดกุมภาพันธ์ และซาน้อยลงมีนาคม เอาสถิติ 5 ปีย้อนหลังของ รอยไหม้ modis มาซ้อนก็ชี้ไปที่กุมภาพันธ์ และหากย้อนไปดูสถิติจุดความร้อน พิกัดการเกิดก็เดิมๆ ใกล้กัน
การสืบหาเหตุปัจจัยของแพทเทิร์นไฟและหย่อมพิกัด มาคลี่คลายทีละเปลาะ จะช่วยให้มองเห็นอะไรชัดขึ้น การแก้ปัญหาป่าใหญ่ๆ ขนาดหลายแสนไร่ มีชุมชนรอบควรต้องเข้าใจสภาพการณ์ของพิกัดนั้นๆ ก่อน
บางพิกัดของออบหลวง ไหม้ทียาวเป็นกิโลเมตร หลักฐานมันบ่งว่าไม่ใช่ชาวบ้านหาของป่าหรอก ดังนั้นเวลาพูดถึงป่าแต่ละป่า พูดลงรายละเอียดเดียวไม่ได้ (แต่คนมักสนใจถามแค่ว่า สาเหตุมาจากอะไร)
เมื่อวานเอาสถิติซ้ำซากออบหลวงท็อปเท็นเล่าในรายการวิดีโอแล้ว ไม่เอาลงซ้ำ วันนี้เอาลงแต่สถิติรายเดือน
ไฟไหม้ซ่้ำซากปีเฉลี่ยละแสนกว่าไร่ มันเพียงพอต่อการกำหนดเป็นยุทธศาสตร์จริงจัง
----------
ภาพที่ 3 : ริมน้ำแจ่มปี 2566
เมื่อ 27 มีนาคม 2566 ปีกลาย ผมไปสาละวิน ได้แวะออบหลวงริมน้ำแจ่ม ขอให้น้องในทีมเอาโดรนขึ้นดูป่า ตอนนั้นเรากำลังผลิตตารางรณรงค์ไฟแปลงใหญ่ 10 ป่า ออบหลวงเป็นหนึ่งในนั้น สาละวินที่ไปก็ใช่ มันกำลังไหม้หนักเลย ส่วนออบหลวงไหม้จบแล้ว แวะดู
ยอมรับว่าป่าออบหลวงน้ำแจ่มตรงนี้ อากาศดีกว่าเมืองจอมทองฮอด ตอนนั้นฝุ่นหนา ค่าเฉลี่ยกลางวันเกิน 80 มคก./ หนักครับ แต่เมื่อเลี้ยวมาขึ้นดอยเลียบน้ำ ฟ้าดูใสขึ้น บนดอยเป็นสีเขียวแล้ว เพราะเผาจบแต่กลางกุมภาพันธ์
ระหว่างที่ทีมเอาโดรนขึ้น ผมเตร่ไปสนทนากับคนแถวนั้น เขาไม่ไว้ใจผมหรอก มารถตู้ เอาโดรนลง ถามว่ามาทำไม ตอบ(โกหก) ว่าไปราชการสาละวิน แวะมาดูรอยไฟไหม้
เขาบอกว่าที่นี่ไหม้จบไปแล้ว อากาศดีแล้ว ตอนที่ไหม้ก็ไม่ได้เกิดหมอกควันอะไรมาก มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ฤดูร้อนต้องจุดไฟ
ฟ้าแถวนี้มันใสกว่าเมืองฮอดจริง แต่มันก็ยังมัวในสายตาเรา สายตาของเรากับสายตาคนพื้นที่ต่างกัน / ความรู้สึกเรื่องอากาศดีก็ไม่เหมือนกัน / เช่นเดียวกับประโยคที่ว่าเมื่อถึงฤดูก็มีไฟมา มันไม่ปกติในสายตาเรา อาจเพราะเราเห็นภาพแสนไร่ควันถล่มเมืองฮอด แต่เขาเห็นเฉพาะพิกัดริมน้ำแถวบ้านของเขา
จากนั้นแวะลงสวนสน บริเวณขายของป่า ให้น้องในทีมที่อู้กำเมืองได้ลงไปคุย ซื้อผักหวานมาด้วย เอาไปฝาก หน.อุทยานฯ ที่นัดกินข้าวตอนเย็นกัน การคุยก็เพื่อให้ได้ข้อมูล ซีกของชาวบ้าน ผมทำแบบนี้ประจำ ที่น้ำปาดแหล่งผักหวานชื่อดัง ลงไปคุยเขายอมรับว่า มีผักที่พ่อค้าจากลพบุรีภาคกลางมาขายให้ ผักปลูกปลอมเป็นผักป่า เพราะที่ตลาดผักป่ามันขายดีกว่า /
เรื่องข้อมูลออบหลวงจุดนี้ เคยเขียนไปแล้ว
-----------
ภาพที่ 4 : บัตรเขียว ป่าน่านใต้
เมื่อวานทำรายการวันนี้สถานีฝุ่นออบหลวงยกระดับแล้วคงไม่จบง่ายๆ หรอก คนคงไม่ดูครบหรอก เขาดูพาดหัวกัน
ผมชี้ว่ามันเรื้อรังและถูกทิ้งมานาน การห้ามเด็ดขาดเลยคงไม่นำไปสู่การจบปัญหา และเอ่ยถึงกระบวนการบัตรเขียว/น่านใต้ ที่ผมชื่นชมไอเดียของพวกเขา
ภาพนี้ ผอ.ต่อพงษ์ จันโทภาส ส่วนไฟป่า สบอ.13 ส่งให้ เป็นการมอบบัตรเขียวให้กับชาวบ้านที่น่านใต้ นาน้อย นาหมื่น เวียงสา ชุมชนติดกับอุทยานฯศรีน่าน
บัตรเขียว บ่งบอกว่าเป็นคนในชุมชนหมู่บ้านติดป่า ส่วนหมู่อื่นแต่เขตใกล้กันบัตรสีเหลือง ชาวบ้านที่อื่นหรือคนนอกใช้บัตรชมพู
แปลเป็นภาษาบ้านๆ ที่เขาเข้าใจคือ บัตรเจ้าถิ่น มีสิทธิ์หากินเก็บของป่า คนนอกไม่มีสิทธิ์ .. ชาวบ้านพอใจครับ ผมไปฟังน้ำเสียงมาด้วยตัวเอง
เมื่อปีกลายผมไปน่านใต้ตั้งแต่เมษาเพราะไฟใหญ่แปลกๆไม่จบ ศรีน่านเป็นป่าเป้าหมายที่เราอยากให้แก้ ปรากฏสถิติออกมาภายหลังศรีน่านแชมป์ประเทศไทย
เรามีกระบวนการในพื้นที่มีความสัมพันธ์กันต่อ จากนั้นผมตามคณะร่างกฎหมายอากาศฯลงพื้นที่ ได้ฟังรายงานเรื่องการเตรียมแผนแก้ปัญหา จะใช้ กลไกตามมาตรา 65 ให้ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่เข้าไปเก็บหาของป่าได้ และต้องช่วยกันดูแลรักษาขอบเขตนั้น มันก้าวหน้ามาก ขนาดที่มีร่าง MOU ข้อตกลงระหว่างอุทยานฯกับชาวบ้านไว้
เมื่อต้นเดือนไปน่านใต้อีกครั้ง เจอะ หน.อุทยานฯ ผมถามเรื่อง ม.65 พี่ฉิมบอกว่า ยังไม่ได้ประกาศใช้ แต่ได้ปรับประยุกต์ความคิดมาเป็น บัตรเขียว/บัตรเหลือง/บัตรชมพู
โดยนัยคือให้สิทธิชาวบ้านพื้นที่หากินในป่า ไม่ต้องทะเลาะแย่งกับชาวบ้านต่างถิ่น เจ้าถิ่นเขาก็จะช่วยดูแล ก่อนหน้าโน้นมีทะเลาะกันชิงกันไม่เป็นระเบียบ
ใครใคร่ใช้ไฟใช้ คราดเห็ดคราด มือยาวสาวเอา ป่าเละ
คือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นน่ะเขาเข้าใจวิถีชาวบ้าน เวลาไปเจรจาอู้จา เรื่องมีไฟใหญ่นะ เขาต้องไปกับฝ่ายปกครองเข้าถึงผู้นำชุมชน บอกกันซื่อๆ ว่าไฟใหญ่ถูกเพ่งเล็งมา ถ้ามีไฟต้องปิดป่านะ 10วัน 15 วัน ต้องไปบอกลูกบ้านนะ เปิ้นจะยับจริงจัง เหตุสงบก็ปล่อยชาวบ้านเจ้าถิ่นเข้าไปได้
ชุมชนใกล้ป่ามีสิทธิชุมชนหาของป่า เป็นประเด็นสำคัญที่คณะทำงานผลักดันกฎหมายอากาศฯพูดถึง ว่าจะเป็นกลไกแก้ปัญหา
ซึ่งป่าออบหลวงก็คงจะมีเรื่องนี้ประกอบสร้างอยู่ในแผนมาตรการระยะยาวต่อไป ไฟที่นี่มันมากเกินไป มากเกินจนเป็นความเคยชิน แต่มันกระทบคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ต้องจัดการ ไม่ว่าสาเหตุใดพิกัดใดปัจจัยใด ต้องถูกเอ่ยถึงอย่างตรงไปตรงมา แบบที่รองผู้ว่าฯ ทศพล เอ่ย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น